เปิดโมเดลนวัตกรรมอุโมงค์ใต้ดินเก็บกักน้ำยึดตามแนวพระราชดำริในหลวงร.9 ลำเลียงน้ำบนถนนไปกักเก็บไว้ระบายลงแหล่งน้ำอย่างเป็นระบบ แนวคิดนำร่องในพื้นที่สวนเบญจกิติ ครอบคลุม 4 เขตเศรษฐกิจชั้นใน คลองเตย วัฒนา สาทร ยานนาวา จากที่น้ำท่วมขังนาน 2 ชั่วโมง จะลดเหลือแค่ 15 นาที เมื่อเทียบกับการลงทุนก่อสร้างราวพันล้าน แลกการสูญเสียเวลาสูญเสียเศรษฐกิจ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า หนึ่งปัญหาใหญ่ที่กทม.กำลังประสบ คือ “ปัญหาน้ำท่วมขังในช่วงฝนตก” ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน การคมนาคม ตลอดจนก่อให้เกิดมูลค่าการสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก จึงเป็นที่มาของไอเดียนวัตกรรม “แก้มลิงใต้ดิน BKK” ตามแนวพระราชดำริของรัชกาลที่ 9 ทั้งนี้ โครงสร้างกทม. เป็น แอ่งกระทะ ถนนต่ำกว่าระดับแหล่งน้ำ เมื่อฝนตกลงมา น้ำจึงระบายไม่ได้ เพราะท่อระบายน้ำอยู่สูงกว่าซอย สูงกว่าถนน และแม้ว่ากทม.จะมี ‘อุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำ’ แต่ด้วยขีดความสามารถในการระบายน้ำที่จำกัด และปัญหาขยะอุดตัน ทำให้ไม่สามารถลำเลียงน้ำไประบายได้เต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีปริมาณน้ำรอระบายบนพื้นถนนมากเกินไป จนเกิดน้ำท่วมขัง เทคโนโลยีที่จะนำมาแก้ไขปัญหาดังกล่าว ก็คือการสร้าง แก้มลิงใต้ดินตามแนวพระราชดำริของรัชกาลที่ 9 ซึ่งที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นก็มีการสร้างแก้มลิงเก็บกักน้ำไว้ใต้ดิน และสามารถเก็บน้ำได้มากถึง 350,000 ลูกบาศก์เมตร ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวว่า แก้มลิงใต้ดิน BKK เป็นนวัตกรรมอ่างเก็บน้ำใต้ดิน ใช้วิธีเปิดหน้าดินเป็นช่องเล็กๆ แล้วใช้เครื่องมือเจาะคว้านดินด้านใน สร้างเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ใต้ดิน และสร้างท่อระบายน้ำหลัก 4 ท่อ พร้อมเชื่อมกับระบบท่อระบายอื่นๆ ของกทม. เพื่อลำเลียงน้ำฝนบนพื้นถนน ไปกักเก็บไว้ใต้ดินเพื่อรอระบายไปยังแหล่งน้ำ สจล. มีแนวคิดพัฒนานำร่องในพื้นที่สวนเบญจกิติ บนพื้นที่กว่า 130 ไร่ มีขอบเขตการให้บริการครอบคลุมพื้นที่ 900,000 ตารางเมตร ใน 4 เขต คือ คลองเตย วัฒนา สาทร ยานนาวา ครอบคลุมย่านเศรษฐกิจชั้นในทั้งย่านพระราม 4 สุขุมวิท คลองเตย และสาทร ซึ่งจะไม่มีปัญหาเมื่อก่อสร้างและปัญหาเวนคืน โดยจะรองรับปริมาณน้ำได้กว่า 100,000 ลบ.ม. ช่วยจัดการปัญหาน้ำท่วมขังอย่างมีประสิทธิภาพได้ใน 15 นาที คาดมูลค่าการลงทุนก่อสร้างราว 1,000 ล้านบาท หากแล้วเสร็จ จะทำให้พื้นที่เศรษฐกิจกทม.ชั้นในไม่มีปัญหาน้ำท่วมขังเนื่องจากน้ำรอระบายอีกต่อไป “จากการวิจัยพบว่า หากมีพื้นที่น้ำท่วมขังราว 50% ของพื้นที่กทม. เป็นเวลา 120 นาที จะก่อให้เกิดการสูญเสียทางเวลาและเศรษฐกิจสูงกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งหากเราลดระยะเวลาน้ำท่วมขังในพื้นที่ลงมาเหลือ 15 นาที จะมีมูลค่าสูญเสียเพียง 60 ล้านบาท หรือเท่ากับสามารถลดมูลค่าการสูญเสียได้กว่า 440 ล้านบาท ในทุกครั้งที่ฝนตกน้ำท่วม และเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขมูลค่าการสูญเสียทางเศรษฐกิจต่อผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ (GDP) ในระยะเวลาน้ำท่วมขัง 2 ชั่วโมงต่อฝนตกหนึ่งครั้ง อยู่ที่ 0.0114% นับว่า ‘แก้มลิงใต้ดิน’ ใช้งบลงทุนที่น้อย แต่สามารถช่วยจัดการปัญหาเพิ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นอกจากนี้ จากวิเคราะห์ของสำนักวิจัยนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ (SCiRA) สจล. พบว่า พื้นที่เสี่ยงเกิดภาวะน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝนดังกล่าวข้างต้น การมีแก้มลิงใต้ดินจะช่วยลดปัญหาน้ำท่วมขังที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจภาพรวม พร้อมกับการพัฒนานวัตกรรมออกแบบระบบส่งน้ำ เพื่อการแก้ไขแบบครบวงจร ต่อยอดการบริหารจัดการได้อย่างเป็นระบบ เช่น เพิ่มระบบถ่ายน้ำออกจากแก้มลิงใต้ดินไปยังแหล่งน้ำโดยตรง ซึ่งจะทำให้แก้มลิงใต้ดินสามารถเก็บน้ำรอระบายจากพื้นดินได้เพิ่มขึ้น หรืออย่างการสร้างแก้มลิงใต้ดินในตรอกซอยที่เกิดน้ำท่วมขังเป็นประจำ เช่น ราชดำริ ประตูน้ำ เป็นต้น โดยจะทำให้น้ำถูกถ่ายเก็บเข้าสู่แก้มลิงในซอยก่อน ไม่ทำให้ไปท่วมซอยในทันที อีกทั้งหากมีการประยุกต์นวัตกรรมอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น นวัตกรรมบำบัดสภาพน้ำ ก็จะสามารถนำน้ำที่ถูกเก็บไว้ใต้ดิน กลับมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ได้อีกครั้ง