วันที่ 14 ก.ค.นางรสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กระบุว่า...“จับตาอ.ยจะผ่านสูตรน้ำมันกัญชาเดชาวันที่19 ก.ค หรือไม่?” น้ำมันกัญชาสูตรเดชา ศิริภัทร ผ่านคณะกรรมการทางวิชาการของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกทั้ง 2คณะไปแล้ว ซึ่งหากไม่ใช่เพราะกัญชาอยู่ในบัญชียาเสพติด หมอพื้นบ้านย่อมสามารถใช้น้ำมันกัญชากับคนไข้เฉพาะรายของตนในพื้นที่ของตนได้ทันที แบบเดียวกับกรณีของหมอแสงที่เมื่อได้การรับรองเป็นหมอพื้นบ้านแล้ว ก็สามารถจ่ายยาให้ผู้ป่วยเฉพาะรายได้ทันทีโดยตำรับยาไม่จำเป็นต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการตำรับยาของกรมการแพทย์แผนไทยฯด้วยซ้ำไป แต่เพราะกัญชาอยู่ในบัญชียาเสพติด จึงมีกระบวนการที่ต้องผ่านการตรวจสอบทางวิชาการจากกรมการแพทย์แผนไทยฯ 2คณะ และต้องมาผ่านคณะกรรมการของอ.ย ก่อนที่จะสามารถขอรับวัตถุดิบกัญชาของกลางจาก ปปส. ที่ผ่านมาต้องชื่นชมเลขาธิการ ปปส.ที่หลังจากดูประวัติการทำงานของหมอเดชา ศิราภัทร และผู้ป่วยที่มารับยาฟรีตามธรรมจริยาของหมอพื้นบ้านแล้ว ก็มีความเชื่อมั่นและพร้อมจะมอบวัตถุดิบกัญชาของกลางให้หมอเดชาไปผลิตแจกฟรีแก่ผู้ป่วย แต่ติดขัดอยู่ที่ อ.ย ไม่ยอมไฟเขียวให้กับตำรับน้ำมันของหมอเดชา ศิริภัทร ทั้งที่เลขาฯปปส.ที่เป็นหน่วยความมั่นคง ควรจะเป็นผู้ขัดขวาง แต่กลับสนับสนุนเพราะมีความมั่นใจในตัวหมอเดชา เมื่อปปส.เห็นสมควรมอบของกลางให้หมอเดชา แทนที่อ.ย จะรีบเร่งในการพิจารณาผ่านตำรับ กลับมีคำถามหลายสิบข้อให้กรมการแพทย์แผนไทยฯต้องตอบเพื่อนำเข้าพิจารณาในการประชุมวันที่19 ก.ค ศกนี้ เลขาฯปปส.เมื่อทราบปัญหาได้กรุณานัดหมายเพื่อให้มีการคุยกันระหว่างหมอเดชา ศิริภัทรกับเลขาฯอ.ย เพื่อการสื่อสาร2ทางกันก่อนการประชุมพิจารณาในวันที่19 ก.ค แต่ปรากฎว่า เลขาอ.ย ขอนัดในบ่ายวันที่19 ก.ค ซึ่งการประชุมน่าจะผ่านไปแล้ว หากการพิจารณาตำรับน้ำมันกัญชาของเดชา ศิริภัทรไม่ผ่านการพิจารณาในวันที่19ก.ค.ดังกล่าว ตำรับน้ำมันกัญชาก็จะถูกเลื่อนออกไปเป็นการประชุมในรอบถัดไป ทำให้หมอเดชาไม่สามารถปรุงยาให้กับผู้ป่วยที่รอคอยรับยาอยู่ ราว4 หมื่นราย เท่ากับเป็นการบีบบังคับให้หมอเดชาต้องแจกยาโดยหมิ่นเหม่ต่อกฎหมาย หรือมิเช่นนั้นก็อาจจะเป็นการบีบบังคับให้ผู้ป่วยและญาติที่เคยร่วมเดินเท้าจากพิจิตรมาถึงสุพรรณบุรี ต้องเดินเท้าอีกครั้งมาชุมนุมที่อ.ย ในกระทรวงสาธารณสุขก็เป็นได้