เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 62 มีรายงานข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แจ้งถึงความคืบหน้าการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลเพื่อไปดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้แก่ เลขานุการรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่า ขณะนี้แกนนำของพรรคในแต่ละภาค  โดยเฉพาะ ภาคเหนือ และภาคอีสาน เริ่มมีการวางตัวบุคคลรอไว้แล้วบางส่วน แต่ยังต้องรอนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค พิจารณาวางหลักเกณฑ์ให้แล้วเสร็จก่อน จึงจะชัดเจนว่าใครมีความเหมาะสมเพียงใด โดยจะพิจารณาตัวผู้สมัครส.ส.ของพรรคที่ได้คะแนนอันดับ 2 หรือผู้มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ทางการเมืองเข้ามา อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาในข้อกฎหมายว่า ส.ส.จะเป็นได้หรือไม่ เนื่องจากอาจเข้าข่ายขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตาม ม.184 และ 185 ตามรัฐธรรมนูญ จนอาจเกิดลักษณะว่า แต่งตั้งส.ส.เป็นข้าราชการการเมืองได้ แต่ไม่สามารถทำงานได้เกิดขึ้น ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้ง พรรคพปชร.ได้ชักชวนอดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคในภาคเหนือและอีกหลายคนให้มาช่วยกันทำงานการเมืองต่อไป เช่น นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ อดีตผู้สมัครส.ส.เชียงใหม่ เพื่อให้การทำงานในพื้นที่เกิดความสอดคล้องต่อเนื่องกับการบริหารงานของรัฐบาล และเป็นผู้ที่จะสะท้อนปัญหา ความต้องการของประชาชนมายังส่วนกลางให้ได้รับการแก้ไข ซึ่งพื้นที่ภาคเหนือ เป็นไปได้สูงว่า ร.อ.ธรรมนมัส จะให้โอกาสหลายคนได้เข้ามาทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางการเมือง เนื่องจากทราบกันแล้วว่า ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ร.อ.ธรรมนัส จะขยับไปลงสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และรับผิดชอบดูแลพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมดเช่นเดิม จึงจำเป็นต้องวางตัวบุคคลให้มีตำแหน่งเป็นข้าราชการการเมืองเพื่อสร้างความนิยมในพื้นที่ให้กับพรรคอีกทาง “ตอนนี้รอผู้บริหารพรรควางหลักเกณฑ์ผู้ที่จะเป็นข้าราชการการเมืองอยู่ เมื่อเสร็จแล้วจะได้มีการหารือกับประธานยุทธศาสตร์แต่ละภาค เพื่อพิจารณาตัวบุคคลที่เหมาะสมเป็นไปตามเกณฑ์ และต้องดูทั้งความสามารถ ความทุ่มเททำงานใกล้ชิดกับพื้นที่ เพื่อส่งเสริมให้เขาทำงาน และช่วยขยายฐานเสียงของพรรคต่อไป ซึ่งในภาคอีสานมีคนที่เหมาะสมอยู่จำนวนมาก อย่างผู้สมัครส.ส. ที่ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 2 หรือใกล้เคียงอันดับ 2 หรือมีคะแนนเลือกตั้งในระดับ 2-3 หมื่นคะแนน ยืนยัน ไม่ใช่การปูนบำเหน็จให้คนของใคร แต่เพื่อให้การขับเคลื่อนมีความยั่งยืน เพราะถ้าให้คนเหล่านั้นลงไปทำงานในพื้นที่โดยไม่มีตำแหน่งใดๆ ชาวบ้านอาจมองว่าไปหลอกเขา จึงจำเป็นต้องให้มีบทบาทเพื่อทำงานในพื้นที่”