ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “พยายามทำให้ความรู้สึกนั้นมีชีวิตชีวา...พูดออกมาจากน้ำใสใจจริง” “หากหัวใจของเราเปี่ยมเต็มไปด้วยนัยความหมายอันประเสริฐทั้งจากการกระทำและสำนึกคิด โลกแห่งการดำรงอยู่ย่อมงดงามและสดใหม่ด้วยความมีชีวิตชีวาเสมอ นั่นคือรากฐานแห่งน้ำใสใจจริงต่อการเปิดนัยแห่งชีวิตที่แท้ให้กว้างออกไปสู่ความสัมพันธ์หลากรูปแบบในฐานะที่เรามีต่อผู้อื่น...อันเชื่อมโยงถึงความสำคัญแห่งความเข้าใจที่ชัดเจนว่า...การเป็นมนุษย์หมายถึงอะไร และเหตุใดจึงจำเป็นที่เราทุกคนจักต้องเป็นห่วงเป็นใยในความเป็นอยู่ของผู้อื่นด้วย...” สาระแห่งคำถามสำคัญอันชวนตระหนัก ณ เบื้องต้นนี้...คือที่มาแห่งแก่นสารที่ลึกซึ้งของหนังสือที่มุ่งเน้นถึงการเปลี่ยนโลกภายในเล่มสำคัญของยุคสมัย/ THE HEART IS NOBLE:Changing the World from Inside Out หรือในชื่อไทย”หัวใจอันประเสริฐ:เปลี่ยนโลกได้จากภายใน”/ผลงานเขียนและศึกษาโดย”องค์กรรมาปะที่17 ออกเยน ทรินเลย์ ตอร์เจ”ซึ่งเป็นลามะระดับสูงสุดในพุทธศาสนาสายธิเบต...และเป็นผู้นำของสายธรรมสายที่เก่าแก่ที่สุดของธิเบตซึ่งสืบทอดผ่านนิรมาณกายอันหมายถึง”ธรรมกาย”นั่นคือภาวะในความเป็นรูปปรากฏแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า/ ..นับตั้งแต่ท่านได้หลบหนีออกจากธิเบต ซึ่งถูกยึดครองโดยรัฐบาลจีนตั้งแต่ท่านอายุได้14 ปี ในวิถีแห่งความเป็นชีวิตของท่าน...ท่านตั้งมั่นอยู่กับการมองโลกในแง่ดี และเฝ้าเรียกร้องให้ผู้คนทุกคนเป็นเปิดจิตและใจให้แผ่กว้างออกไปสู่ทั้งคนในครอบครัว กับชุมชน ระบบสังคม หรือกับโลกกว้างของเราทุกคน...การเกิดเจตจำนงนี้เป็นเพราะท่านได้รับการฝึกฝนทางจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้ง และที่สำคัญคือท่านมีความสนใจใคร่รู้และมีความรักให้กับโลก เหตุดังนี้ท่านจึงสามารถทำให้เราเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ชัดเจนถึงสถานะแห่งความเป็นมนุษย์โดยองค์รวมอย่างสมควรจะเป็น...โดยชี้ให้เห็นว่า...เราทุกคนสามารถสร้างโลกใหม่ได้ด้วยความอุตสาหะ ด้วยการนำทรัพยากรที่เรามีอยู่แล้วอย่างล้นเหลือออกมาใช้ สิ่งนั้นก็คือหัวใจอันประเสริฐที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่ในตัว โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญแห่งความรัก “ประเด็นที่ข้าพเจ้าอยากบอกก็คือ ความรักสามารถเป็นสิ่งจริงแท้และยั่งยืนได้หากอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม...นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้า ความรักสามารถมีคุณลักษณะที่ไพศาลและสามารถครอบคลุมไปได้กว้างไกล เราสามารถทำให้ความรักแผ่ออกไปจนซึมซาบเข้าไปถึงแก่นของความสัมพันธ์ได้ แต่เรากลับทำในทางตรงกันข้าม คือแทนที่จะเปิดโอกาสให้ความรักได้งอกงาม เรากลับเก็บกักมันไว้ด้วยความคาดหวัง และความคาดหวังนี้เองที่ทำให้ความรักต้องขึ้นอยู่กับการกระทำหรือคำพูดของอีกฝ่ายหนึ่ง” เจตจำนงดังกล่าวนี้อาจถูกตีความได้อย่างมีแก่นความคิดได้ว่า...แท้จริงแล้วความรักสามารถเกื้อหนุนชีวิตของเราได้ หากเรามีทัศนะที่ถูกต้องเกี่ยวกับมัน...ดูเหมือนว่าหลายๆคนจะมองว่า...ความรักเป็นสิ่งที่นำความสุขความเพลิดเพลินใจมาให้ และในขณะที่มองว่าอาชีพการงานคือสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เราต้องการอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย จึงได้เห็นว่ามันสมเหตุสมผลที่ต้องรักษาอาชีพการงานเอาไว้ ทัศนะเช่นนี้ทำให้เราเชื่อว่า อาชีพการงานเป็นเรื่องจริงจังในขณะที่ความสัมพันธ์เป็นเพียงเรื่องเล่นๆ ซึ่งเมื่อเรามีท่าทีเช่นนี้กับชีวิต เราก็จะทำเหมือนกับว่าความรู้สึกและความสัมพันธ์เป็นสิ่งไม่สลักสำคัญอะไร ซึ่งก็ดูเหมือนว่า หลายๆคนไม่เดือดร้อนกับการเปลี่ยนคู่มากเท่ากับที่จะต้องเปลี่ยนอาชีพ...พวกเขายอมอดทนเอามากๆกับการไม่มีความสุขและความเหนื่อยยากในการทำงาน เพราะเห็นว่าอาชีพเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต และไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือยที่สามารถจะเลือกได้...แต่ถ้าคู่รักหรือเพื่อนคนไหนสร้างปัญหามากเกินไป และไม่นำความสุขมาให้ เขากลับรู้สึกว่าตนสามารถสลัดคนเหล่านั้นทิ้ง และอาจหาคนใหม่ได้ในภายหลังเมื่อมีโอกาส..ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาคิดว่า..ความรักไม่ได้สลักสำคัญนักต่อชีวิต “ข้าพเจ้าอยากจะแบ่งปันความรู้สึกให้พวกเรารับรู้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าความรักของข้าพเจ้านั้นมิได้จำแต่เฉพาะในช่วงชีวิตนี้หรือร่างกายนี้...ให้ลองจินตนาการดูว่าแม้เมื่อข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว แต่ความรักของข้าพเจ้าก็อาจจะคงอยู่...ข้าพเจ้าอยากฝากความรักไว้กับดวงจันทร์แล้วให้ดวงจันทร์ธำรงความรักนั้นไว้ ให้ดวงจันทร์เป็นผู้รักษาความรักของข้าพเจ้า จะได้มอบให้ทุกๆคนเวลาที่แสงจันทร์สาดส่องมาโอบกอดผืนโลก” “องค์กรรมาปะ ออกเยน ทรินเลย์ ดอร์เจ”ยังได้เน้นย้ำให้ทุกคนได้เห็นถึงข้อตระหนักที่มีคุณค่าในอีกด้านหนึ่งว่า อันที่จริงเราต่างสามารถทำอะไรให้โลกและสรรพสัตว์ได้ตั้งมากมาย ถ้าเพียงแตเรามีใจที่อยากจะใช้สติปัญญาและความเฉลียวฉลาดมาช่วยดุแลรักษาโลก แทนที่จะเป็นฝ่ายเอาจากโลกถ่ายเดียว...ท่านเชื่อว่าเราทุกคนจักต้องเริ่มต้นด้วยการประสานสติปัญญาของเราให้เป็นหนึ่งเดียวกับอารมณ์ความรู้สึก โดยเฉพาะอารมณ์ที่เป็นความกรุณา นอกจากนี้ เราจะต้องให้จริยธรรมนำสติปัญญา เราอาจใช้สามสิ่งมาประกอบกัน คือ สติปัญญา อารมณ์ความรู้สึก และจริยธรรม มาเป็นหลักในการพิจารณาว่าอะไรเป็นผลดีต่อสรรพสัตว์ อะไรเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม และอะไรเป็นผลดีต่อชนรุ่นหลัง หรืออีกนัยหนึ่ง เราจักต้องมีสำนึกทางจริยธรรมที่ครอบคลุมเรื่องต่างๆอย่างครบถ้วน “การมีสำนึกทางจริยธรรมว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด อะไรเป็นคุณอะไรเป็นโทษ จะต้องเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์ต่างๆที่อยู่ร่วมโลกกัลป์เรา และครอบคลุมไปถึงสภาพแวดล้อมที่โอบอุ้มเราทุกคนด้วยเช่นกัน” หัวใจใหญ่อันเป็นดั่งเจตจำนงด้านลึกของหนังสือเล่มนี้โดยสรุป...จึงอยู่ที่ปณิธานอันแรงกล้าและคมชัดของผู้เขียนซึ่งมุ่งชี้และแสดงให้เห็นถึงเค้าโครงของสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นวิถีธรรมในเชิงมนุษยนิยม อันเป็นแนวคิดที่ก่อกำเนิดขึ้นจากคำสอนพุทธศาสนา แต่ถึงกระนั้น ทุกสิ่งล้วนเป็นผลของหลักแห่งการอิงอาศัยที่เชื่อมร้อยเรากับผู้อื่นและโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่เราสามารถประจักษ์ได้ด้วยตนเอง ทั้งนี้ก็เพราะมันเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้และเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับทุกคน โดยไม่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนับถือศาสนาอะไร เพราะถ้าความจริงใดเป็นความจริงสากล มันย่อมไม่ผูกขาดว่าเป็นของศาสนาหนึ่งศาสนาใด หรือเป็นทัศนะของคนกลุ่มใดกลุ่มเดียว “ข้าพเจ้ากำลังแนะวิธีการมองโลกและวิธีดำเนินชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับศาสนาใดโดยเฉพาะ ที่ทำเช่นนี้ก็ด้วยความหวังว่า ..หนังสือเล่มนี้อาจช่วยคนที่อยากใช้ชีวิตที่สมบูรณ์ขึ้น มีความกรุณามากขึ้น และมีความหมายยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้คนที่อยากเดินบนเส้นทางของศาสนาใดศาสนาหนึ่งอย่างจริงจัง...เนื้อหาโดยรวมของหนังสือเล่มนี้จึงมีไว้สำหรับผู้ใฝ่ธรรมเหล่านั้น” “นัยนา นาควัชระ”แปล”หัวใจอันประเสริฐ:เปลี่ยนโลกได้จากภายในด้วยวิถีประสบการณ์อันหยั่งลึกที่ถ่ายทอดออกมาจากมิติแห่งผัสสะภายในของเธอ...ที่สื่อถึงสัจจะแห่งการรับรู้ที่ว่า”เราทุกคนล้วนอาศัยอยู่บนโลกและสร้างบ้านของเราบนโลกใบนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่แล้วเรากลับมองไม่เห็นภาพรวม แต่กลับไปสนใจอยู่กลับซอกมุมเล็กๆที่เราอาศัยอยู่ภายใต้บ้านหลังมหึมา... “หนังสือเล่มนี้คือคำเชิญชวนขององค์กรรมาปะ ให้เราได้สร้างอนาคตร่วมกัน มันจะบอกถึงวิธีที่จะช่วยนำเรากลับไปพบหัวใจอันประเสริฐ และบอกแนวทางการดำเนินชีวิตในโลกที่แตกต่างไปจากวิถีเดิม ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายอาจนำวิธีการเหล่านี้ไปทดลองใช้ในชีวิตได้ ทุกคนสามารถร่วมกันเปลี่ยนแปลงโลกได้ด้วยการเปลี่ยนตัวเองจากด้านใน เราแต่ละคนสามารถลงมือทำได้จากจุดที่เราเป็นอยู่ ขอเพียงแต่มีความปรารถนาดีต่อโลกนี้” ทัศนะความคิดที่สื่อสารออกมาด้วยท่าทีที่เปิดกว้างและแม่นตรงของบรรณาธิการหนังสือเล่มนี้”พจนา จันทรสันติ”นักคิดทางจิตวิญญาณคนสำคัญ...เป็นเหมือนดั่งข้อยืนยัน ถึงโครงสร้างอันถาวรและสมบูรณ์ในภาพรวมของหนังสือเข้าพเจ้าล่มนี้ทั้งหมด..มันยืนยันได้อย่างกระจ่างถึงว่า...แทนที่เราจะให้คุณค่ากับสิ่งที่ได้รับจากผู้อื่น เราหากสมควรที่จะต้องเปลี่ยนไปให้คุณค่าแก่ผู้อื่นมากกว่า นั่นคือแบบแผนของชีวิตที่มีความหมาย...ซึ่งไม่ได้มาจากการดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว เช่นเดียวกับว่า...ความสุขใดๆก็ตามก็มิได้มาจากสายสัมพันธ์ที่เรามีต่อผู้อื่นแต่อย่างใดไม่..หากแต่ “ข้าพเจ้าไม่มีข้อมูลใหม่ไปบอกใคร ได้แต่มอบความรู้สึกสดใหม่ของตัวเองและพยายามทำให้ความรู้สึกนั้น มีชีวิตชีวา ...และพูดออกมาจากน้ำใสใจจริง”