ปี 2562 เป็นปีที่หนักหนาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยที่ยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความต่อเนื่องในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศ กำลังซื้อภาคประชาชนที่ยังเปราะบาง จำนวนที่อยู่อาศัยรอขายสะสมระดับสูง และปัจจัยที่สำคัญได้แก่ มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-To-Value: LTV)ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อที่อยู่อาศัย รวมถึงต้นทุนการพัฒนาโครงการสูงขึ้น นายสวิจักร์ โลจายะ ประธานกรรมการ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) (EVER)ให้สัมภาษณ์ว่า ในวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด(มหาชน) หรือEVER แม้จะเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก แต่พร้อมที่จะผงาดในอนาคต ผนวกกับการปรับตัว วางแผนและกลยุทธ์ในการกระจายแหล่งที่มาของรายได้ ทั้งจากโครงการแนวราบ โครงการแนวสูง การบริหารพอร์ต และการสร้างแบรนด์ใหม่ๆ โดยเฉพาะโครงการทาวน์โฮม รวมทั้งการมองหาโอกาสการลงทุนเพิ่มเติม ดังนั้นปีนี้ จึงถือว่าจะเป็นปีแห่งการเติบโต และเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างแท้จริง สำหรับบริษัทเอเวอร์แลนด์ในตอนนี้ถือว่ามีความพร้อมกับการก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในด้านการสร้างรายได้ ผลกำไร เพราะตั้งแต่ปี 2562จะเป็นปีแห่งการเทิร์นอะราวด์และกลับมาสร้างผลกำไรอย่างโดดเด่น และในปีนี้ EVER มีแนวโน้มผลการดำเนินงานจะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่ารายได้รวม 5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนรายได้รวม 1,149 ล้านบาท และมีโอกาสพลิกกลับมามีกำไรได้อีกครั้ง ปัจจุบัน EVER มีคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เดอะโพลิแทน ทำเลย่านสนามบินน้ำ 3 โครงการ ซึ่งใน 2 โครงการเดอะโพลิแทน บรีซ มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท และโครงการเดอะโพลิแทน รีฟ มูลค่า 6,300 ล้านบาท จะเป็นธุรกิจเรือธงที่สำคัญ เพราะจะช่วยสร้างรายได้หลักอย่างเด่นชัดในปีนี้ ส่วนแนวราบ EVER มีโครงการบ้านพักอาศัย บ้านเดี่ยว โดยใช้แบรนด์มายโฮม อเวนิว รวมทั้งการขยายเซกเมนต์ ด้วยเพิ่มการพัฒนาโครงการแนวราบ ขยายไปที่ทาวน์โฮม ภายใต้แบรนด์เอเวอร์ ซิตี้ มูลค่าโครงการรวม 2,000 ล้านบาท ในราคาเฉลี่ย 3-4 ล้านบาท ในทำเลที่ต่างกัน ประกอบด้วย โครงการเอเวอร์ซิตี้ สุขสวัสดิ์ 30 - พุทธบูชา จำนวน 94 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 2.89-4 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 540 ล้านบาท ถือเป็นโครงการแนวราบรายแรกที่เปิดขายต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาและได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี มียอดจองประมาณ 50 ยูนิตจากที่เปิดขายรวม 82 ยูนิต ซึ่งในเดือนส.ค.นี้คาดจะเริ่มทยอยโอน และสร้างรายได้เข้ามา ขณะที่โครงการโครงการเอเวอร์ซิตี้ หนามแดง249 ยูนิต มูลค่าโคงการ 870 ล้านบาท เปิดขายกลางเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา และประสบความสำเร็จเช่นกัน ท้ายสุดโครงการเอเวอร์ซิตี้ รามอินทรา จตุโชติ ทาวน์โฮม172 ยูนิต มูลค่า 630 ล้านบาทเป็นอีกโครงการที่เปิดขายในปลายเดือนมิ.ย.62 โดยเปิดขายในเฟสแรก 94 ยูนิต มียอดจองแล้ว 20 -30 ยูนิต ถือว่าประสบความสำเร็จในการขายทาวน์โฮมอย่างสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตามหัวใจสำคัญของ EVER สำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะเน้นโครงการแนวราบและการสร้างแบรนด์ทั้ง 2 แบรนด์ ได้แก่ มายโฮม อเวนิวและ เอเวอร์ ซิตี้ ซึ่งที่เป็นทาวน์โฮมให้ติดตลาดและเป็นที่ยอมรับของผู้อยู่อาศัย พร้อมตอบโจทย์ความต้องการอย่างลงตัว นอกจากนี้ EVER ยังมีธุรกิจโรงพยาบาล โดยการเข้าไปลงทุนผ่านบริษัทมาย ฮอสพิทอล จำกัด ซึ่งมีบริษัทย่อย 4 แห่งประกอบด้วย 1.บริษัทโรงพยาบาลเชียงใหม่ ราษฎร์ จำกัด (CMR) 2.บริษัท เดนทอล อิส ฟัน จำกัด (DENTAL) 3.บริษัทโคราชเมดิคัลกรุ๊ป จำกัด (KMG) 4.บริษัท พิษณุโลกอินเตอร์เวชการ จำกัด (PM) ซึ่งเป็นอีกธุรกิจที่จะสนับสนุนการสร้างรายได้ในอนาคตให้เติบโตอย่างมั่นคง ด้วยความหลากหลายในการดำเนินธุรกิจของ EVER จะช่วยผลักดัน และสร้างมูลค่าเพิ่มของหุ้นให้สูงขึ้นได้ จากปัจจุบันราคาหุ้น 0.46 บาทต่อหุ้น ต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี(Book Value)ที่ 0.66 บาทต่อหุ้น ดังนั้นในตอนนี้หุ้นEVER จึงมีความน่าสนใจไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของประชาชนไทยยังมีความรู้ความเข้าใจ และพิจารณาความเสี่ยงในการลงทุนมีจำนวนน้อย ส่วนใหญ่เลือกลงทุนในประเทศที่ผลตอบแทนสูง ขณะเดียวกันการลงทุนเหล่านั้นกลับเป็นการลงทุนที่มี ความเสี่ยงสูงตามไปด้วยเช่น ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยขาดการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ ทั้งปัจจัยพื้นฐาน สภาพคล่อง ความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ประกอบธุรกิจ ท้ายที่สุดเมื่อภาวะเศรษฐกิจผันผวน เกิดวิกฤติฟองสบู่อสังหาฯ นักลงทุนเหล่านั้นจะได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงในการเข้าไปลงทุนอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ในทางกลับกันถ้ามีข้อมูลครบถ้วนการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหุ้นก็น่าสนใจ