เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 7 กรกฎาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดร.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร. แถลงผลการทลายโรงงานผลิตยาลดความอ้วนและเครือข่ายผู้จำหน่ายยาลดความอ้วน พล.ต.อ.ดร.วิระชัย กล่าวว่า สำหรับขบวนการนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ครบถ้วนตั้งแต่ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายยาลดความอ้วน รวมจำนวน 7 คน ประกอบด้วย น.ส.อัญมณี หีบแก้ว ซึ่งเปิดบัญชีรับโอนเงิน มีเงินหมุนเวียนในบัญชีมากกว่า 34 ล้านบาทในรอบปี, นางต้อย เจ้าของโรงงานผลิตยาลดความอ้วน (บริษัทดีดีคอสเมด จำกัด), หมอเดียร์ เจ้าของคลินิก ซึ่งเป็นลูกสาวของโรงงานผลิตยาลดความอ้วน,ผู้ร่วมกิจการ 2 คนคือ น.ส.ปลา และนายต่อ หุ้นส่วน โอบีแคร์ รวมถึงผู้ส่งยาลดความอ้วนอีก 2 คน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่านายจิรายุส พลศิริ เป็นคนไปส่งยาลดความอ้วนที่ไปรษณีย์เภตรา จ.ปทุมธานี ให้กับผู้เสียชีวิต ทั้งนี้น.ส.ปลา นายต่อ และผู้ส่งยาจะได้รับค่าจ้างจากหมอเดียร์เดือนละ 300,000 บาท พล.ต.อ.ดร.วิระชัย กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ต้องหาทั้งหมด 7 คน ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาใครในกระบวนการนี้ เนื่องจากต้องรอผลการตรวจพิสูจน์ศพผู้เสียชีวิตจากสถาบันนิติเวชรพ.ตำรวจ เพื่อพิสูจน์หาสาเหตุของการเสียชีวิตว่าเกิดจากสาเหตุใด ทั้งนี้หากผลออกมาว่าเกิดจากการรับประทานยาลดความอ้วน ก็จะเตรียมแจ้งข้อหาเพิ่มเติมต่อไป ส่วนโรงงานผลิตยาลดความอ้วนในจ.กาฬสินธุ์ที่มีการเข้าตรวจค้นพบการผลิตยาผิดกฎหมายเมื่อวันที่ 6 ก.ค.ได้แจ้งข้อหากับโรงงานไปแล้ว 8 ข้อหา อาทิ ตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ผลิตและจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อประสาทในประเภท 2 โดยไม่ได้รับอนุญาต ผลิตยาปลอม ผลิตอาหารปลอม ทำลายพยานหลักฐาน ฯลฯ ส่วนการตรวจสอบโรงงานผลิตยาที่จ.กาฬสินธุ์ พบว่าเป็นโรงงานที่ผลิตยาลดความอ้วนผิดกฎหมาย รายใหญ่ที่สุดของประเทศ นอกจากนี้ยังพบความเชื่อมโยงว่าเดิมทีเจ้าของโรงงานเป็นขบวนการที่เคยตั้งโรงงานผลิตยาลดความอ้วน"ลีน" ในเครือเมจิกสกินที่จ.สมุทรสาคร แต่ถูกตำรวจบุกเข้าทลายโรงงาน จึงมาสร้างโรงงานใหม่ที่จ.กาฬสินธุ์ โดยในวันที่บุกค้น พบลูกจ้างกำลังเผาทำลายยาไซบูทรามีนอยู่ 5 จุดโดยสูตรยาทุกตัวที่ผลิตจากโรงงานมีส่วนผสมของไซบูทรามีนทั้งสิ้น และจะใช้วิธีจ่ายยาเป็นชุด เพื่อกดอาการข้างเคียงของไซบูทรามีนจำนวน 7 ชนิด ให้รับประทานไปควบคู่กัน หากบริโภคเข้าไปปริมาณมาก อาจจะส่งผลให้ระบบไตและตับทำงานหนักและวายเฉียบพลันจนเสียชีวิตในที่สุด พล.ต.อ.ดร.วิระชัย กล่าวว่า ส่วนหมอเดียร์นั้น เป็นอดีตเภสัชกรที่ถูกเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพ และเคยถูกดำเนินคดีในลักษณะเช่นนี้มาแล้ว รวมทั้งขณะนี้อยู่ระหว่างรอลงอาญา 2 ปี และเคยเปลี่ยนชื่อมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ก็กลับมาก่อเหตุในลักษณะนี้อีก โดยมีลูกจ้างคือน.ส.ปลาและนายต่อ 2 สามีภรรยาที่ติดหนี้กว่า 5 ล้านบาท เนื่องจากเคยเป็นลูกค้าที่สั่งซื้อยาจากโรงงาน แต่ถูกจับทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายค่ายา จึงมาขอทำงานใช้หนี้ จากการตรวจสอบพบว่ามีผู้เสียหายที่สั่งซื้อยาลดความอ้วนจากเพจเฟซบุ๊กโอบีแคร์ จำนวน 5,619 ราย สามารถไปแจ้งความในท้องที่เกิดเหตุได้ เพื่อดำเนินกับบุคคลเหล่านี้ในความผิดร่วมกันฉ้อโกงประชาชนกว่า 30 ล้านบาท กรณีเจ้าของโรงงานกล่าวอ้างว่า มีข้าราชการระดับสูงเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยการเรียกรับผลประโยชน์ พล.ต.อ.ดร.วิระชัย กล่าวยืนยันว่า ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนจ.กาฬสินธุ์ ทำการสอบสวนแบบตรงไปตรงมา ไม่ต้องปกปิด ช่วยเหลือ หรือซ่อนเร้นผู้กระทำผิด ซึ่งได้สั่งการให้ทางพล.ต.ต.ทินณะรัตน์ เพชรพันธ์ ศรี ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ พ.ต.อ.ตรีวิทย์ ศรีประภา รอง ผบก. และพนักงานสอบสวนให้ทำการสอบสวนเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา หากมีการพาดพิงถึงข้าราชการคนไหนให้ปรากฎไว้ในสำนวน หลังจากผู้ต้องหาได้ให้การทั้งหมดเรียบร้อยได้ให้ผู้ต้องหา รวมถึงพยานหลักฐานทั้งหมดที่มีมาพบในวันพุธที่ 10 ก.ค. เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยจะเรียก เจ้าของโรงงาน หมอเดียร์ เข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติม เพื่อดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พล.ต.อ.ดร.วิระชัย กล่าวว่า ขอเรียนว่าที่มีข่าวว่าเป็น สคบ. นั้นเป็นข่าวมาจากไหนไม่ทราบ ผมยังไม่เคยให้สัมภาษณ์หรือให้ข่าวว่าผู้ที่เกี่ยวข้องนั้นเป็นผู้ใหญ่ในสคบ.หรือเป็นใคร แต่เมื่อสื่อมวลชนถามว่าหากมีข้าราชการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างไร พล.ต.อ.ดร.วิระชัย กล่าวต่อว่า ถ้ามีข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะดำเนินการอย่างเฉียบขาด ตรงไปตรงมา ไม่ว่าข้าราชการคนนั้นจะเป็นข้าราชการหน่วยใด หรือส่วนใดก็ตาม และถ้าข้าราชการคนนั้นเป็นตำรวจก็จะยิ่งดำเนินการได้อย่างเต็มที่ ส่วนที่มีรายงานว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดปคบ.นั้นทางพล.ต.อ.ดร.วิระชัย กล่าวอีกว่า ในส่วนนี้ยังไม่ได้มีการตรวจสอบ ขอเวลาให้ผมได้ดำเนินการตรวจสอบก่อน ซึ่งทางผู้ต้องหาที่กล่าวอ้างจะมาพบผมในวันที่ 10 ก.ค.นี้ ในฐานะผู้เสียหายคดีถูกเจ้าพนักงานเรียกรับสินบน โดยขอยืนยันหากพบข้าราชการเรียกรับสินบนจริงจะต้องถูกดำเนินคดีทางวินัยและอาญาอย่างถึงที่สุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) เปิดเผยว่า บุคคลที่ผู้ต้องหาแอบอ้างว่าเรียกรับสินบนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสคบ.นั้น ทางสคบ.ตรวจสอบร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้วพบว่า ไม่ใช่เจ้าหน้าที่สคบ. แต่เป็นตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค(ปคบ.) ซึ่งทราบชื่อและยศของนายตำรวจคนดังกล่าวแล้ว