เงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 6 ปีครั้งใหม่ที่ 30.52 บาทต่อดอลลาร์ฯ ด้านแบงก์ชาติลดวงเงินการออกพันธบัตรระยะสั้นอีกครั้ง พร้อมประเมินความจำเป็นออกมาตรการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ จากการตรวจสอบรายละเอียดของตารางกำหนดการประมูลตราสารหนี้ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ปรับปรุงล่าสุดเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.62 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า ธปท.มีการปรับลดวงเงินการออกพันธบัตรระยะสั้นอีกครั้ง ซึ่งแม้จะไม่มีการประกาศโดยตรงว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นมาตรการดูแลค่าเงินบาท แต่คงต้องยอมรับว่า ในช่วงก่อนหน้านี้(ตั้งแต่ปี 2560) ธปท.เคยใช้การลดวงเงินการออกพันธบัตรระยะสั้น มาเป็นเครื่องมือช่วยชะลอกระแสเงินทุนไหลเข้า และ/หรือลดแรงจูงใจไม่ให้นักลงทุนต่างชาติใช้พันธบัตรระยะสั้นของไทยเป็นที่พักเงินในช่วงเวลาที่ตลาดเงิน-ตลาดทุนโลกมีความผันผวน เพราะเงินบาทมักถูกมองว่า เป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย ประกอบกับไทยมีการบันทึกยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้การปรับลดวงเงินการออกพันธบัตรระยะสั้นดังกล่าว ยังเป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่มีแรงหนุนให้เงินบาทแตะระดับค่าสุดในรอบ 6 ปีครั้งใหม่ที่ 30.52 บาทต่อดอลลาร์ฯ (ณ วันที่ 1 ก.ค.62) ซึ่งยิ่งกระตุ้นให้ตลาดมีความระมัดระวัง และรอติดตามสัญญาณที่อาจบ่งชี้ว่า ธปท. เตรียมที่จะออกมาตรการมาดูแลความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย(กนง.) เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา แสดงท่าทีที่เป็นกังวลมากขึ้นต่อสถานการณ์เงินบาท ซึ่งแข็งค่าอย่างรวดเร็ว และเริ่มไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทย ทั้งนี้วงเงินประมูลพันธบัตรระยะสั้นของธปท. จะปรับลดลงในเดือนก.ค. 2562 ทั้งในส่วนของพันธบัตรธปท. อายุ 3 เดือน พันธบัตรอายุ 6 เดือน และพันธบัตรอายุ 1 ปี โดยวงเงินการออกพันธบัตรธปท.ระยะสั้น 3 เดือน และพันธบัตรระยะ 6 เดือน ลดลงประเภทละ 5,000 ล้านบาทต่อสัปดาห์ ขณะที่วงเงินการออกพันธบัตรธปท.อายุ 1 ปี ลดลง 10,000 ล้านบาทในเดือนก.ค. 2562 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แม้การปรับลดวงเงินการออกพันธบัตรระยะสั้น มักจะเป็นเครื่องมือแรกๆ ที่ธปท. นำมาใช้เพื่อช่วยชะลอกระแสเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า ผลสุทธิที่มีต่อทิศทางการเคลื่อนย้ายเงินทุนในภาพรวมของนักลงทุนต่างชาติ ยังคงขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย โดยเฉพาะมุมมองต่อแนวโน้มของค่าเงินดอลลาร์ฯ รวมถึงการปรับพอร์ตการลงทุนเข้าลงทุนในพันธบัตรที่มีอายุยาวขึ้นของนักลงทุนต่างชาติ ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงเดือนเม.ย.60 ที่ธปท.มีการลดวงเงินการออกพันธบัตรระยะสั้น 3 เดือน และระยะ 6 เดือน ลงประเภทละ 10,000 ล้านบาทต่อสัปดาห์ ซึ่งผลหลังจากนั้นปรากฎว่า นักลงทุนต่างชาติทยอยปรับเพิ่มการถือครองพันธบัตรระยะยาว แม้จะลดการถือครองพันธบัตรระยะสั้นลงก็ตาม เมื่อมองไปข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ปัจจัยสำคัญที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในระยะใกล้ๆ นี้ ยังเป็นเรื่องการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเนื่องไปยังแนวโน้มเศรษฐกิจ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) รวมไปถึงภาพรวมการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ฯ โดยในกรณีที่สหรัฐฯ และจีนสามารถบรรลุการเจรจาในประเด็นทางการค้าระหว่างกันได้เป็นผลสำเร็จแล้ว แรงกดดันที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด อาจผ่อนคลายลงกว่าที่ตลาดมีความกังวลในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ อาจทำให้เงินดอลลาร์ฯ สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้บางส่วน แต่ในทางกลับกัน ส่วนหากสหรัฐฯ-จีนไม่สามารถหาข้อสรุปทางการค้าร่วมกันได้ก็อาจทำให้โอกาสที่จะเห็นเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยประคองแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น ซึ่งย่อมเป็นสถานการณ์ที่เพิ่มแรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์ฯ และอาจมีผลกระทบต่อเนื่องให้เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบที่ค่อนข้างแข็งค่ากว่าสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค และเป็นการเพิ่มช่วงบวกการแข็งค่าในปีนี้ต่อเนื่อง หลังจากที่แข็งค่าขึ้นแล้วในขณะนี้ถึง 6.5% นำสกุลเงินอื่นๆในเอเชีย สำหรับในเบื้องต้นศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การปรับลดวงเงินการออกพันธบัตรธปท.ระยะสั้น อาจเป็นหนึ่งในการดำเนินการในชั้นแรกเพื่อดูแลประเด็นค่าเงินบาท ขณะที่คาดว่า ธปท.น่าจะติดตามทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้ายระยะสั้น และผลกระทบต่อทิศทางเงินบาทอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความจำเป็นของการออกมาตรการที่มีความเหมาะสมต่อไปในระยะข้างหน้า