เจาะเฟรม / การะเกด ดูเหมือนว่าโลกเราจะมีคนหลงทางอยู่สองจำพวก พวกหนึ่งรู้ตัวว่าหลงทาง กับอีกพวกที่ไม่รู้ตัวว่าหลงทาง อะไรน่ากลัวกว่ากัน จริงๆมันก็น่ากลัวทั้งสองอย่างนั่นแหละ แต่อาจจะต่างกันตรงที่ เมื่อรู้ว่าหลงทาง เราจะพยายามหาทางไปให้ถึงจุดหมาย ซึ่งเป็นได้ทั้งรูปธรรมและนามธรรม กับชีวิตจริง เราเองก็น่าจะเคยหลงทางกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งมันก็เป็นที่มาของสำนวนที่ว่า “ทางอยู่กับปาก” คือถ้าไปไม่ถูกก็ให้ถาม แต่กับบางเรื่องถามไปก็คงไม่มีใครให้คำตอบได้ นอกจากตัวของตัวเอง นั่นก็คือหลงลืมไปว่าแท้จริงแล้ว เราคือใคร เราต้องการอะไร หรืออะไรคือคุณค่าที่แท้จริงในความเป็นตัวของเรา แล้วในความเป็นชีวิต เราสามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้จากอะไรบ้าง ประสบการณ์ของเวลา นั่นอาจจะเป็นคำตอบที่ตรงตัวอย่างที่สุด แต่มันก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถยอมรับ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะความยึดมั่นถือมั่น หรือถ้าไม่แข็งเกินไปก็อ่อนจนเกินไป น่าสนใจว่า ประสบการณ์ บางครั้งก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากแบบตรงๆกับตัวเอง แต่มันเกิดขึ้นมาจากการเรียนรู้ได้เหมือนกัน และหลายครั้งก็ไม่น่าเชื่อว่า มันจะเกิดขึ้นจากหนังเด็กๆที่ทำให้เราตระหนักรู้และคิดได้ว่า เวลาที่ผ่านมา เราหลงลืมหรือหลงทางอะไรไปบ้าง Toy Story เป็นหนึ่งตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่า อะไรคือคุณค่าสำคัญของชีวิต คุณค่าที่ถูกเพาะบ่มมาตั้งแต่วัยเยาว์ ผ่านความผูกพันธ์กับของเล่นหลากหลายซึ่งแน่นอนว่า นี่เป็นประสบการณ์ร่วมของทุกคน เด็กทุกคน มีของเล่น มากบ้าง น้อยบ้าง รักบ้าง ไม่รักบ้าง แต่พอเติบโตขึ้น ก็แยกจากกัน นั่นเป็นธรรมดาโลก เรามีชีวิตที่ต้องเติบโตเพื่ออยู่ในโลก แต่วันหนึ่งเราก็จะมีชีวิตเล็กๆเข้ามา แล้วเรามองเห็นอะไรบ้างกับลูกหลานเรา กับของเล่นของเขา Toy Story สร้างให้ของเล่นเหล่านั้นมีชีวิต มีความคิด มีความรักความผูกพัน กับเจ้าของ ของเล่น ผูกพันกับเด็ก มันรู้สึกมีค่าเมื่อเด็กๆให้ความสนใจหยิบเอาไปเล่น นั่นคือความหมายที่มันเกิดมา ความหมายที่ทำให้มันดำรงอยู่ แต่ถ้าวันหนึ่งเด็กๆไม่สนใน ละเลย จะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ ของเล่นเหล่านั้นย่อมรู้สึกว่าตัวเองหมดคุณค่า สิ่งที่ทำได้ดูเหมือนจะเป็นการรอคอยเด็กคนใหม่ที่จะมาหยิบไปเล่นไปรักอย่างเงียบๆ Toy Story 4 มีตรงนี้ คือมันทำให้เห็นว่า คุณค่าของชีวิตนั่น บางทีไม่ใช่การอยู่เพื่อตัวเอง แต่เป็นการอยู่เพื่อคนอื่น แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ ก็ต้องเข้าใจถึงตัวเองให้ดีก่อนว่า เราทำเพื่อตัวเอง หรือทำเพื่อคนที่เรารัก ของเล่นแต่ละชิ้นล้วนมีบทบาทที่สะท้อนสิ่งเหล่านี้ออกมาให้เราเห็นผ่านการกระทำและคำพูดมากมาย นับแต่ตัวเอกอย่าง วูดดี้ เพื่อนซี้อย่าง บัค ไลท์เยียร์ จนถึง โบ ปีบ และผองเพื่อที่ต้องออกมาผจญภัยร่วมกันอีกครั้งเพื่อตามหาความรักที่แท้จริง ความรักที่ไม่สำคัญว่า ใครจะมารักเรา แต่เราต่างหากที่รักใคร เราได้เห็นตัวละครใหม่อย่าง แก็บบี้ ตุ๊กตาตกรุ่นที่กล่องเสียงชำรุด จนไม่มีเด็กคนไหนสนใจ เธอได้แต่นั่งมองเด็กคนแล้วคนเล่าที่ผ่านเข้ามาในร้านขายของเก่าผ่านตู้กระจก เธอรักเด็กหญิงคนหนึ่ง และหวังว่า ถ้ามันมีกล่องเสียงใหม่ เด็กคนนั้นจะหันมารักและเอากลับไปเล่นด้วย แต่เมื่อหล่อนได้กล่องเสียงจากวู้ดดี้มา เด็กหญิงกลับไม่ได้สนใจเธอ แก็บบี้เสียเวลาให้ความรักกับคนที่ไม่เห็นค่า และที่สุด เมื่อเธอเห็นเด็กหลงทางยืนร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เธอเดินเข้าไปหา เด็กคนนั้นโอบกอดเธอไว้ ตุ๊กตาและเด็กหญิง ต่างหลงทางด้วยกันทั้งคู่ การพานพบคือการเติมเต็มชีวิตของกันและกัน นี่กระมังที่ทำให้แก็บบี้พูดออกมาว่า ถ้าเรารักคนที่เห็นคุณค่าเรา เราจะไม่เจ็บปวด นี่เป็นหนังที่ให้ความงดงามในภาพและความที่สื่อผ่านมาเราได้ตระหนักรู้ว่า ชีวิตเราขาดอะไรและต้องการอะไร และอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าการติดยึด ในความเป็นชีวิต เราเองล้วนเคยหลงทางด้วยกันทั้งสิ้น ในความเป็นชีวิต เราเคยรักคนที่ไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวของเรามาแล้วทั้งสิ้น แต่ที่เรามีวันนี้ได้ วันที่กลับมายืน มามีค่าได้ เพราะการหลงทาง มันบ่งบอกบทเรียนบางอย่างให้กับเรามิใช่หรือ ภาพจาก www.siamzone.com