นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า หลังจากที่มีการเลือกตั้งแล้ว เวลานี้ผ่านมา2- 3 เดือนยังไม่มีการฟอร์มรัฐบาลที่ชัดเจนใหม่ ถือว่าล่าช้ามากหากเทียบกับการเลือกตั้งที่ผ่านมา ทั้งนี้หากจะกระตุ้นเศรษฐกิจ กำลังซื้อในประเทศ และความเชื่อมั่นนักลงทุน จึงเห็นว่ามีความจำเป็นต้องฟอร์มรัฐบาลให้เร็วที่สุดภายในระยะ1เดือนหลังจากนี้ นอกจากนี้ยังอยากฝากถึงรัฐบาล ให้ช่วยดูแลอัตราค่าเงินบาทไม่ให้แข็งเกินไป โดยในช่วง 2-3 เดือนแรกของปีค่าเงินบาทที่แข็งค่าเร็วมาก ส่งผลกระทบต่อรายได้การส่งออกสินค้าเกษตรที่ลดลงจะกระทบต่อเกษตรกรและกำลังซื้อในระดับรากหญ้าลดลงตามไปด้วย เพราะสินค้าเกษตรเป็นสินค้าที่เริ่มต้นจากการผลิตในประเทศจนถึงส่งออก ขณะที่่ระดับค่าเงินบาทที่เหมาะสมนั้นควรจะอยู่ที่ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ถึงจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น "หากค่าเงินยังค่าแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่เข้ามาดูแล อาจทำให้รายได้ที่กลับเข้ามาประเทศลดลง ไม่เกิดการสะพัดทางการเงิน ส่งผลให้ภาคการเกษตร หรือกำลังซื้อระดับล่างลดลงได้ตามมา" นายบุณยสิทธิ์ กล่าว นายบุณยสิทธิ์ กล่าวเพิ่มว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัว และหลายหน่วยงานมีปรับเป้าจีดีพีลดลง แต่บริษัทจะยังคงเป้าการเติบโตปีนี้ไว้ที่ 2-3% โดยในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา (มกราคม-มิถุนายน) มีทั้งธุรกิจที่เติบโตขึ้น และธุรกิจที่ชะลอตัว เช่น กลุ่มธุรกิจอาหารมีการเติบโตอย่างต่เนื่องในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันเป็นกลุ่มธุรกิจที่เติบโตที่สุดในพอร์ต ขณะที่ธุรกิจในกลุ่มสินค้าอุปโภคก็ยังคงมีอัตราการเติบโต แม้กลุมธุรกิจแฟชั่นจะลดลง เนื่องจากภาวะเศรฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นยอมรับว่าส่งผลกระทบในบางกลุ่มธุรกิจของบริษัท เช่น กลุ่มสิ่งทอ เนื่องจากกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เป็นการใช้แรงงานและวัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก "แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะยังไม่ดี แต่พาสเนอร์บริษัทอย่างประเทศญี่ปุ่นยังมีความเชื่อมั่นในศักภาพของประเทศไทย โดยยังมีแผนลงทุนในไทยต่อเนื่อง และยังไม่ถอยไปไหน" นายบุณยสิทธิ์ กล่าว