ประธานบริหารปตท.เดินหน้าขยายธุรกิจไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชีย เตรียมขายเชื้อเพลิงให้จ.ระยองจากโรงไฟฟ้าจากขยะปลายปี 62 พร้อมนำเป็นโมเดลขยายต่อจังหวัดอื่น บอกชัดไม่ถนัดลงทุนรถไฟฟ้าความเร็วสูง อ้าแขนรับหากต้องการผู้ร่วมทุน มั่นใจ3-5ปีพลังงานมีความมั่นคงยั่งยืน เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. เปิดเผยว่า สำหรับธุรกิจไฟฟ้าซึ่งมี GPSC เป็นแกนหลักนั้นก็ยังคงมองหาโอกาสการลงทุนในภูมิภาคเอเชียต่อเนื่อง นอกเหนือจากที่มีการลงทุนอยู่ในประเทศลาวแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนธุรกิจโรงไฟฟ้าตามรูปแบบ Gas to Power ในเมียนมา ซึ่งเป็นการต่อยอดนำก๊าซฯมาผลิตไฟฟ้าในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม หลังจากที่มี PTTEP เป็นผู้นำเข้าไปลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติในเมียนมาอยู่แล้ว โดยคาดว่าโครงการในเมียนมาจะมีความชัดเจนในช่วงครึ่งหลังปีนี้ นอกจากนี้ GPSCพัฒนาโรงไฟฟ้าจากขยะชุมชน ขนาด 9.8 เมกะวัตต์ (MW) ในจ.ระยอง เพื่อขายไฟฟ้าเข้าระบบภายในสิ้นปี 62 เป็นการนำขยะจากพื้นที่ในจ.ชลบุรี ,ระยอง และจันทบุรี มาใช้เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งเมื่อประสบความสำเร็จในพื้นที่นี้แล้ว กลุ่มปตท.ก็มองโอกาสนำรูปแบบโมเดลธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะดังกล่าวไปใช้ในพื้นที่อื่นที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้ามาก โดยอาจจะทำให้มีการรวมตัวเป็นคัสเตอร์จังหวัดเพื่อรวบรวมปริมาณขยะให้มีเพียงพอมาใช้ผลิตไฟฟ้าต่อไป "ส่วนโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินนั้น ปตท.ไม่มีความเชี่ยวชาญ หากผู้ชนะการประมูลโครงการดังกล่าวเชิญชวนให้ปตท.เข้าร่วมลงทุนด้วย ปตท.ก็จะต้องนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อหารือต่อไป"นายชาญศิลป์ กล่าวและว่า สำหรับภาพของกลุ่มปตท.ในอีก 3-5 ปีข้างหน้าจะสร้างการเติบโตด้านพลังงานอย่างยั่งยืนให้กับประเทศ โดยจะมีปริมาณสำรองน้ำมันและก๊าซฯเพิ่มขึ้นจากการลงทุนของ PTTEP ,มีการขยายธุรกิจ Gas to Power ให้มากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ,ขยายธุรกิจร้านกาแฟคาเฟ่ อเมซอน สถานีบริการน้ำมัน และ LPG ในกัมพูชา ลาว เมียนมา และจีน ,มีผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเกรดพิเศษมากขึ้น , มีน้ำมันที่สะอาดใช้ทั้ง B10 และ B20 ตลอดจนการส่งเสริมให้เกิด Bio Economy ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรได้อีกทางหนึ่งด้วย