สมาคมประกันวินาศภัยไทยจับมือศปจร.น.จัดบรรยายพิเศษ เผยตัวเลขรถหายรอบ3ปีลดลงกว่าครึ่ง จาก1,800 คันหดลงเหลือ900กว่าคัน จากสาเหตุไฟแนนซ์-ประกันคุมเข้มขึ้น บวกกับทหารตร.ในรัฐบาลคสช.เข้มงวด ห่วงคนร้ายพัฒนาวิธีการมาเหนือเมฆขึ้น รถนำออกขายประเทศเพื่อนบ้าน แต่ทำเนียนยังอยู่ฝั่งไทย ส่งค่างวดต่อ ขณะที่เต้นท์รถขายรถไม่ออก และลูกค้าประกันรถ2+กับ3+เริ่มมีพฤติกรรมจัดฉากชนฉ้อฉลเอาเงินประกันกันถึ่ขึ้น นายสมบัติ ไชยษร รองประธานชมรมสินไหมยานยนต์ หัวหน้าคณะทำงานเกี่ยวกับเรื่องของรถประกันสูญหายของสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ทางคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทยได้ร่วมกับทางศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ บช.น.(ศปจร.น.) จัดโครงการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “การป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถและการฉ้อฉลประกันภัย” ซึ่งได้มีการบรรยายถึงวิธีการต่างๆในเรื่องของการฉ้อฉล และเทคนิคการสืบสวนและสอบสวนของทางศปจร.น.ให้ผู้มาร่วมงานฟังที่โรงแรมเจ้าพระยาปารค์ ถ.รัชดาฯ โดยได้รับเกียรติจากพ.ต.อ.อรรถพร สุริยเลิศ ผกก.กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น.มาร่วมพูดคุยและแลกเปลี่ยนมุมมองกันร่วมกับคณะทำงานเรื่องรถหายของสมาคมประกันฯ โดยสาระสำคัญในงานได้พูดถึงภาพรวมรถของลูกค้าทำประกันภัยไว้กับบริษัทประกันภัยมีปริมาณหายลดลงไปมากในช่วงหลายปีมานี้ โดยปี 2557 ธุรกิจหายไป 1,800 คัน พอในปี 2558 หายไป 1,300 กว่าคัน และในปี 2559 ยอดรถหายเหลือเพียง 900 กว่าคัน ซึ่งมันสะท้อนถึงปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเพราะปัจจัย 1.สภาพเศรษฐกิจหรือกำลังซื้อประชาชนลดลงไป หรือ2.ไฟแนนซ์ไม่ปล่อยสินเชื่อ เพราะไฟแนนซ์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์กันมากขึ้น หรือบริษัทประกันภัยตรวจสอบอย่างเข้มข้นขึ้น และ3.รัฐบาลชุดนี้ มีทหารและตำรวจสนธิกำลังกันทำงานกันเข้มงวดกวดขันมากขึ้น นายสมบัติ ไชยษร กล่าวต่อว่า จริงอยู่แม้ว่าจำนวนรถที่ทำประกันหายน้อยลงไปก็ตาม แต่ก็ยังไม่อาจจะชะล่าใจได้ เพราะมันอาจจะเป็นการทิ้งหรือทอดเวลาออกไปสักพักหนึ่งให้บริษัทประกันภัยและเจ้าหน้าที่ตำรวจตายใจหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องขบคิดกันให้มากทีเดียว เพราะปัจจุบันแก๊งฉ้อฉลเหล่านี้อาจพัฒนาการฉ้อฉลในการโจรกรรมรถเปลี่ยนไปมากขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้บางทีเอารถออกไปขายประเทศเพื่อนบ้านแล้ว แต่ก็ยังทำทีเป็นผ่อนค่างวดกับไฟแนนซ์อยู่เหมือนยามปกติก็มี พอเกิดรถหาย ก็มีการแจ้งความ ซึ่งบริษัทประกันหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจดูกล้องวงจรปิด ก็พบว่า มีรถมาจอดจริง และหมายเลขทะเบียนดังกล่าวก็ถูกต้อง จอดประมาณครึ่งชั่วโมง โดยกล้องจับภาพได้นั้นมีคนร้ายมาที่รถแล้วเปิดประตูขับออกไปเลย ซึ่งมันเป็นไปได้ยังไง เพราะหากจะมีการโจรกรรมนั้นต้องมีวิธีการมากกว่านี้ ซึ่งทะเบียนรถดังกล่าวที่กล้องวงจรปิดจับภาพได้นั้นอาจจะเป็นทะเบียนปลอมหรือของจริงแล้วนำเอามาติดเพื่อตบตาไว้ก็ได้ ซึ่งกรรมวิธีฉ้อฉลเช่นนี้มีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องน่าห่วงมาก ถ้าเรานำสืบไม่ได้ แต่ในรายที่ยกตัวอย่างมานี้ ทางบริษัทประกันได้ไล่ไปตรงนั้นตรงนี้ว่า มีการใช้รถไปที่ไหนกันบ้าง จนสุดท้ายพบว่า ไม่มีรถ จึงมารู้ว่า รถดังกล่าวน่าจะนำออกไปขายประเทศเพื่อนบ้านไปแล้ว แต่กลับยังตบตาและทำให้สมจริง โดยมีการผ่อนจ่ายค่างวดรถอย่างปกติต่อเนื่อง ไม่มีขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะเศรษฐกิจไม่ดีขณะนี้ น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะทั้งเต้นท์รถเดี๋ยวนี้ขายรถไม่ดี ก็จะหันมาหากินกับบริษัทประกันเพื่อเป็นทางออก หรือแม้แต่คนที่มีรถเก่าอยู่แล้ว ซึ่งจะทำประกันรถยนต์ประเภท2+ หรือ3+ พอขายรถไม่ได้เพราะไม่มีคนซื้อ เมื่อไม่มีคู่กรณี บริษัทก็ไม่รับผิดชอบ ก็จะจัดฉากชน เพื่อเจตนาเรียกเงินค่าสินไหมกับบริษัทประกันฯก็เกิดขึ้นมากเวลานี้ เดือนหนึ่งๆลูกค้าคนเดียวกันมีรถคันเดียวขี่ชนเป็นสิบๆครั้ง เป็นไปได้ยังไง พอเราเริ่มจับตา ก็จะเปลี่ยนพฤติกรรมการฉ้อฉลไปเรื่อยๆ ซึ่งการกระทำจัดฉากฉ้อฉลทำนองช่นนี้ เป็นเรื่องน่ากลัวทีเดียวในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้