คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย นับตั้งแต่ยุคบุกเบิกของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นต้นมา สื่อนับว่าเข้าไปมีบทบาทสำคัญในแวดวงสังคมอเมริกันสมัยนั้น และครั้งที่มีการร่างรัฐธรรมนูญการกำหนดสิทธิของสื่อได้กลายเป็นหัวใจหลักที่คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญประกาศ “บัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง” หรือ “Bill of Rights” ที่มีอยู่สิบประการและได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1791 ทั้งนี้ทุกๆยุคทุกๆสมัยคนอเมริกันต่างยึดถือกันว่า “สื่อคือตัวกลางที่เชื่อมระหว่างรัฐบาลกับประชาชน” และพวกเขาต่างก็ยังมีความเชื่ออีกเช่นกันว่า “สื่อจะเฝ้าคอยสอดส่องจับตาดูการทำงานของรัฐบาล” ในสมัยแรกๆนั้นบรรดาสำนักพิมพ์ของหนังสือพิมพ์ต่างก็ตั้งอยู่ตามเมืองใหญ่ๆดังเช่น นิวยอร์ก บอสตัน ฟิลลาเดลเฟียเนื่องจากว่าเมืองเหล่านี้เป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามทั้งอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯและบรรดานักการเมืองแต่ละคนที่ผ่านมาต่างก็มีกลยุทธ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกัน!!! สำหรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์นั้นนับได้ว่าเขามีพรสวรรค์พิเศษที่สามารถรักษาฐานการเมืองของเขาเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดยเขาไม่สนและไม่แคร์ว่า หนังสือพิมพ์ชื่อดังค่ายยักษ์ใหญ่ที่ทรงอิทธิพลดังเช่น นิวยอร์กไทมส์ วอชิงตันโพสต์ หรือ ซีเอ็นเอ็น ซึ่งสื่อทั้งสามสำนักนี้พยายามขุดคุ้ยงัดแงะเพื่อนำเอาข้อเท็จจริงต่างๆเกี่ยวกับประธานาธิบดีทรัมป์ออกมานำเสนอต่อมวลชน แต่ดูเหมือนว่า “จะไม่เป็นผลแต่อย่างใด” ทั้งนี้เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2017 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ลงในทวิตเตอร์ว่า “หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ รวมถึง เอ็นบีซีนิวส์ เอบีซี และสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นต่างเสนอข่าวเท็จและยังวางตัวเป็นศัตรูกับประชาชน” และเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2018 ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้โจมตีลงในทวิตเตอร์อีกว่า “สื่อเสนอข่าวเท็จและเป็นศัตรูต่อประชาชนคนอเมริกัน” ทั้งนี้วุฒิสภามิได้เพิกเฉยนิ่งนอนใจ โดยเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2018 วุฒิสภาได้มีมติเป็นเอกฉันท์ออกมากล่าวถ้อยแถลงว่า “สื่อมิได้เป็นศัตรูของประชาชน” และไม่กี่วันต่อมาหนังสือพิมพ์ของสหรัฐอเมริกาถึง 350 ฉบับก็ได้รวมตัวผนึกกำลังแถลงข่าวลงในบทบรรณาธิการอย่างเป็นเอกฉันท์เช่นกันว่า “พวกเราทำหน้าที่สื่อเพื่อมวลชน และมิได้เป็นศัตรูของประชาชนแต่อย่างใด” โดยภาพรวมแล้วหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ออกมาชี้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์เปิดสงครามที่แสนจะสกปรกกับพวกเขา อนึ่งในโอกาสเฉลิมฉลองสองปีของการเข้าสู่ทำเนียบขาวประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังได้ออกมาประกาศโจมตีพุ่งตรงไปยังหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ว่า “เป็นศัตรูของประชาชน” แต่ก็ถูกเจ้าของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ตอกกลับสวนอย่างทันทีว่า “นอกจากจะไม่เป็นความจริงแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อสังคมอีกด้วย” หากหันมาดูเสียงสะท้อนของคนอเมริกันเกี่ยวกับการโจมตีสื่อ จากการหยั่งเสียของ Quinnipiac University ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการหยั่งเสียงแห่งหนึ่งได้รายงานว่า คนอเมริกันทั่วๆไปกว่า 65% เชื่อว่า สื่อมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนระบอบประชาธิปไตย!!! และช่วงเดียวกันนั้นสำนักหยั่งเสียงชื่อดัง Ipsos ที่ได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างสูงก็ได้ออกมาเปิดเผยด้วยว่า สมาชิกพรรครีพับลิกัน 23% ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ควรสั่งปิดสำนักพิมพ์หลักๆเหล่านั้นอาทิเช่น นิวยอร์กไทมส์ วอชิงตันโพสต์ และซีเอ็นเอ็น อนึ่งอย่าลืมว่าเมื่อครั้งการแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดี สื่อส่วนใหญ่มิได้วางตัวสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวคือ ในช่วงเลือกตั้งปี 2016 มีหนังสือพิมพ์ที่ให้การสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์เพียง 20 ฉบับ โดยมีสื่อที่หันไปสนับสนุนฮิลลารี คลินตัน มากถึง 243 ฉบับ และก็ยังเป็นที่น่าสนใจอีกด้วยเช่นกันว่าครั้งที่ “บารัก โอบามา”ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีนั้น เขาได้รับเสียงสนับสนุนจากบรรดาสื่อต่างๆถึง 99 สำนัก ในขณะที่มิตต์ รอมนีย์ คู่แข่งขันได้รับเพียง 47 ฉบับ ซึ่งอาจจะเป็นที่มาที่ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์รู้สึกโกธรแค้นต่อบรรดาสื่อทั้งหลายก็เป็นไปได้!!! แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นจะเห็นได้ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวหาว่า “สื่อเป็นศัตรูของประชาชน” ตั้งแต่สมัยที่เขาเริ่มออกมารณรงค์หาเสียง ก่อนหน้าที่เขาจะได้รับเลือกให้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยซ้ำไป ยกตัวอย่าง หนึ่งปีให้หลังจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้าสู่ทำเนียบขาวคือเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2017 ซึ่งเขาก็ได้โพสต์ลงในทวิตเตอร์อย่างชัดเจนว่า “หนังสือพิพ์นิวยอร์กไทมส์ สถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี สถานีโทรทัศฯเอบีซี สถานีโทรทัศน์ซีบีเอสและซีเอ็นเอ็น มิใช่เป็นศัตรูของข้าพเจ้า แต่เป็นศัตรูของคนอเมริกัน” โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังทัศนคติด้านลบนี้ก็คือ “สตีฟ แบนนอน”นักเขียนหัวอนุรักษ์นิยมขวาจัด ซึ่งเขาเข้ามารับหน้าที่หัวหน้าฝ่ายวางกลยุทธ์ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งอาจจะต้องการวางแผนยั่วยุนักข่าว เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้โดนัลด์ ทรัมป์โดดเด่นเป็นที่รู้จัก!!! และโปรดอย่าลืมว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เวียนว่ายอยู่ในแวดวงบันเทิงมาแล้วอย่างยาวนาน ซึ่งเขาเข้าใจด้านการตลาดเป็นอย่างดีว่า หากพูดอะไรแบบย้ำๆซ้ำๆคนอเมริกันก็จะค่อยๆเชื่อไปในที่สุด อย่างไรก็ตามกลยุทธ์อันแสนแยบยลที่ออกมาสร้างความสนใจต่อสื่อนั้น เป็นผลทำให้เขาสามารถเอาชนะนักการเมืองคนอื่นๆที่เป็นศัตรูคู่แข่งในช่วงหาเสียงคัดเลือกเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันทั้ง 16 คน ทั้งนี้บรรดาลิ่วล้ออีกหลายๆคนของประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังใช้ทัศนคตินี้เช่นกัน รวมไปถึงโฆษกทำเนียบขาวทุกๆคนอีกด้วย อีกทั้งประธานาธิบดีทรัมป์ได้ใช้ทวิตเตอร์เป็นอาวุธประจำวันในการโจมตีนักการเมืองคนอื่นๆรวมทั้งสื่อที่ไม่เห็นด้วยกับเขาโดยเขากล่าวซ้ำๆซากๆจนเป็นผลให้คนอเมริกันหลงเชื่อคล้อยตาม ล่าสุดนี้เมื่อวันอังคารที่ 18 มิถุนายนนี้ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์เปิดฉากรณรงค์หาเสียงสมัยที่สองที่รัฐฟลอริด้าเขาก็ได้กล่าวโจมตีสื่อตั้งแต่เริ่มต้นเอ่ยปากกล่าวคำปราศรัย และเป็นที่แน่นอนว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจนถึงวันเลือกตั้งในอีก 17 เดือนข้างหน้า เขาจะโจมตีสื่ออย่างดุเดือดเข้มข้นยิ่งๆขึ้นตามลำดับ กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเนื่องจากขณะนี้สำนักหยั่งเสียงทุกๆแห่งต่างออกมาเปิดเผยว่า นักการเมืองของค่ายพรรคเดโมแครตทั้ง 23 คนที่ได้ลงสมัครแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีแทบจะทุกๆคนต่างเป็นฝ่ายที่มีคะแนนนิยมนำหน้าเหนือกว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ด้วยซ้ำไป และก็ยังดูเหมือนว่าประธานาธิบดีทรัมป์คงไม่มีทางเลือกในการที่จะต้องเปิดศึกเผชิญหน้ากับสื่อต่อไปอีกเรื่อยๆ โดยจำต้องอดทนอดกลั้นที่จะโดนจิกกัดจากการโจมตีของบรรดาสื่อทั้งหลายแหล่ เข้าทำนองเดียวกับที่ “ประธานาธิบดีแฮรี่ ทรูแมน” เคยกล่าวเอาไว้อย่างน่าฟังเมื่อ 70 ปีก่อนนี้ว่า “หากท่านกลัวไฟ ท่านก็ไม่ควรอยู่ในครัว” ละครับ