เจาะเฟรม / การะเกด การมาถึงของหนังอย่าง Men In Black International เป็นเรื่องน่าจับตามองว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะอย่างน้อยก่อนหน้านี้ หนังเคยสำเร็จมาแล้วถึงสามภาค แล้วก็ทิ้งหายไปนาน มาคราวนี้เลยปรับเปลี่ยนอะไรต่อมิอะไรขึ้นเยอะ แต่เยอะในที่นี้ก็เป็นเรื่องของนักแสดงเสียมากกว่า เพราะไม่ใช้บริการของนักแสดงเก่าอย่าง ทอมมีลี โจนส์ กับ วิล สมิท แต่มาใช้ดาราใหม่อย่าง คริส เฮมส์เวิร์ธ กับ เทสซ่า ทอมสัน เป็นคู่หูคู่ใหม่แทนซึ่งแฟนหนังรู้จักกันมาเป็นอย่างดีแล้วจากเทพเจ้าสายฟ้า ในตอนแร็กน่าร็อค ที่ว่ากันว่าเป็นคู่ที่มีเคมีเข้ากันอย่างที่สุด คือถ้ามองกันในมุมนี้ก็คงยากที่จะปฏิเสธ เพราะทั้งคู่เล่นได้เข้าขากันมาก อย่างคริส ในบทเอเยนต์ H ที่ค่อนข้างหลงตัวเอง ทั้งที่ความจริงแล้วก็ไม่ค่อยจะน่าหลงเท่าไหร่ แต่บังเอิญหนังมาเฉลยภายหลังว่าแก่โดนลบความทรงจำบางอย่างไป แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เกิดสีสันใหม่ๆขึ้นมา เพราะไม่ต้องยึดติดกับสูทดำเหมือนแต่ก่อน ส่วน เทสซ่า เองก็เช่นกัน ในบทเอเยนต์ M ซึ่งถูกปูมาแต่ต้นว่า เธอไปเห็นหน่วย MIB กำลังลบความทรงจำของพ่อกับแม่เธอสมัยเด็ก และเห็นเอเลี่ยนจากต่างดาวซึ่งเธอได้ช่วยเอาไว้ ก็ตั้งจิตมั่นทีเดียวกว่าจะต้องเข้ามาทำงานกับหน่วยนี้ให้ได้ จนเมื่อโตขึ้น ความฝันของเธอก็สัมฤทธิ์ผล ขนาดแอบเข้าไปในสำนักงาน MIB ไปตื้อจนได้ทำงาน และคราวนี้ ไม่ใช่จะทำงานในอเมริกา แต่ถูกส่งมาทำกันที่ยุโรปเลยทีเดียว ซึ่งนั่นหมายถึงว่า ฉากในเรื่องจะเปลี่ยนไปจากอเมริกาที่คุ้นเคยกันดีในภาคก่อนมาเป็นยุโรป แถมยาวไปถึงอาฟริกาเหนือด้วย ถึงรูปแบบของหนังจะพยายามหาความใหม่เข้ามาใส่ ซึ่งนอกจากฉาก นักแสดง และอุปกรณ์ไฮเทคแล้ว ส่วนที่เหลือว่าไปก็ยังเหมือนเดิม นั่นก็คือภาระกิจที่จะต้องตามหาเอเลี่ยนไม่ดีที่จะเข้ามาทำลายโลกของเรา อันที่จริงแนวคิดของหนังชุดนี้มันแปลกตอนที่ออกมาแรกๆ คือเปลี่ยนผู้ร้ายที่เป็นคน ให้กลายมาเป็นเอเลี่ยน อีกทั้งก็สร้างให้โลกของเรานั้น กลายเป็นที่พักอาศัยของเหล่าเอเลี่ยนจากต่างดาวที่เดินทางเข้ามาขออาศัยทำมาหากิน มาปลอมปนอยู่กับชาวโลกโดยที่ชาวโลกจะไม่รู้ไม่เห็น เพราะจะมีหน่วยงานอย่าง MIB คอยกำกับดูแล ตั้งแต่การเดินทางเข้ามา ขอวีซ่า รวมถึงการสอดสองดูแลว่าไปทำอะไรที่มันผิดกฎหมายหรือเปล่า มันก็เหมือนภาพย่อของประเทศอเมริกาในอีกมุมมองหนึ่งนั่นแหละ เหล่าเอเลี่ยนต่างเผ่าพันธ์ก็เหมือนผู้อพยพ หรือไม่ก็ลี้ภัย ในขณะเดียวกัน ก็มีเอเลี่ยนบางส่วนที่เข้ามาแล้วก่อปัญหา ก็ต้องมีหน่วยงานที่คอยติดตามจัดการ ซึ่งก็ต้องทำกันอย่างเงียบๆไม่ให้ชาวโลกแตกตื่น ใครที่บังเอิญมารู้มาเห็นก็จะใช้แสงลบความจำ ง่ายๆอย่างนี้ การหยิบหนังชุดนี้เอามาทำอีกครั้ง ก็เรียกว่าเป็นการขยายจักรวาลของ MIB ให้มันกว้างขึ้นไปอีก แทนที่จะจมอยู่กับบรรยากาศเดิมๆ แต่เมื่อบรรยากาศเปลี่ยน นักแสดงเปลี่ยน แต่โครงเรื่องยังเป็นแบบเดิม ตรงนี้ก็ถือเป็นการวัดใจผู้ชมแล้วว่าจะชอบกันหรือเปล่า ซึ่งก็คงต้องรอผลจากรายได้นั่นแหละ กระนั้น แม้ตัวหนังจะมีบรรยากาศอย่างเดียวกันกับภาคก่อน แต่ก็ถือว่าหนังแยกตัวเองออกมาต่างหาก ไม่เกี่ยวกับภาคที่ผ่านมา แฟนใหม่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะดูไม่รู้เรื่อง จะห่วงก็แต่แฟนเก่า ที่ยังไงก็อดไม่ได้ที่จะเอาไปเปรียบกับภาคเก่าอยู่ดี ซึ่งก็มีทั้งชอบและไม่ชอบ เป็นธรรมดา นั่นอาจเพราะหนังยังเดินไปในแบบเดิมคือตามล่าเอเลี่ยนผู้ร้าย เพื่อเอาอาวุธทำลายล้างสูงคืนมา ก็ตามกันไป สู้กันไป หักหลังกันไป ซึ่งในระหว่างนี้ก็มีมุขตลกมาให้เห็นเป็นระยะ ซึ่งถ้าจะมองกันโดยภาพรวมก็นับว่าเป็นหนังสนุกเรื่องหนึ่งที่ดูแล้วก็แล้วกัน ไม่ได้ติดอกติดใจอะไรมาก จะว่าสนุกแต่ไม่ว๊าวก็คงได้ แต่จะบอกว่ามันไร้สาระเสียทีเดียวก็คงไม่ใช่ อย่างน้อย มันก็แง่งามให้เห็นกันเล็กว่าทุกอย่างในโลกมันอยู่ที่เรามองกันจริงๆ ว่าในร้ายมีดีและในดีมีร้าย สังคมเอเลี่ยนบนโลกก็เหมือนสังคมของมนุษย์บนโลกนี่แหละ จะอยู่อย่างมีสุขก็ต้องไม่โลภ แต่ในสังคมก็มีทั้งเอเลียนที่ดีและไม่ดี หน่วย MIB ก็ต้องทำหน้าที่ไป เพียงแต่ในหน่วยเองก็มีหน่อนบ่อนใส้อยู่ด้วย มันก็เลยไม่ต่างกัน ถ้าเปรียบโลกในหนังเป็นเหมือนร่างกายเรา เอเลี่ยนทั้งหลายก็คงไม่ต่างจากเชื้อต่างๆที่อยู่ในตัวเรานั่นแหละ มันก็มีทั้งที่ไม่ดี คือทำให้เราป่วย และที่มีทั้งด๊คือช่วยให้ระบบในร่างกายทำงานได้ตามปกติ MIB จึงเป็นเหมือนเม็ดเลือดขาวที่คอยกำจัดสิ่งไม่ดีออกจากร่างกายกระมัง ภาพจาก www.siamzone.com