ชาวตลาดสดบ่อบัวเดือด รวมตัวยื่นหนังสือศูนย์ดำรงธรรม ก่อนร้องฝากถึงนายกตู่ บอกอยากได้ตลาดประชารัฐ หลังถูกนายทุนผู้ได้สัมปทานในที่ดินรถไฟบีบ โขกค่าเช่าโหดแบบรายวัน ล่าสุดยังเตรียมขยายพื้นที่ให้เช่าทับเส้นทางเข้าออกภายในตลาด หวั่นเสียเส้นทางขนส่งสินค้าทำคับแคบ ขณะหน่วยงานรัฐเตรียมเรียกทั้งสองฝ่ายมาร่วมกันเจรจาตกลงกันอีกครั้ง เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (19 มิ.ย.62) ที่ศูนย์ดำรงธรรมบริเวณชั้น 1 อาคารศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้มีกลุ่มผู้ค้าขายภายในตลาดสดบ่อบัวจำนวนเกือบ 200 ราย เดินทางเข้ามายื่นหนังสือร้องเรียนถึง นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ให้ช่วยหาทางยับยั้งและแก้ไขปัญหา หลังจากทางผู้ค้าขายได้รับแจ้งจากทางเจ้าของตลาดผู้ได้รับสัมปทานที่ดินรถไฟว่า จะเข้ามาดำเนินการสร้างโดมครอบพื้นที่ถนนสายหลักที่ใช้สัญจรภายในตลาด และทับเส้นทางการขนส่งสินค้า เพื่อที่จะกั้นเป็นแผงขายสินค้าและเปิดให้ผู้ค้าจากที่อื่นมาจับจองค้าขายเพิ่มเติมอีก ทั้งที่เส้นทางดังกล่าวเป็นช่องทางสัญจรสำคัญในการขนถ่ายสินค้าภายในตลาด ซึ่งจะทำให้ทางผู้ค้าได้รับความผลกระทบเกิดความยากลำบากในการขึ้นลงสินค้าเข้าสู่แผงขายในตลาด โดย นายประดิษฐ์ เพิ่มปัญญา อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 230 ม.16 ต.ท่าไข่ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า การเดินทางเข้ามาร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมในครั้งนี้ มีสาเหตุจากนายทุนผู้ได้รับสัมปทานในที่ดินรถไฟกำลังเตรียมที่จะเข้ามาทำการปิดกั้นถนนเมนสายหลักเส้นผ่ากลางตลาด ที่ผู้ค้ามีความจำเป็นต้องใช้ในการขนส่งขึ้นลงสินค้าเข้าสู่แผงค้าในตลาด เพื่อที่จะสร้างเป็นโดมและเปิดแผงค้าใหม่ให้แก่ผู้เช่ารายใหม่เข้ามาเซ้งแผงค้าต่ออีกทอดหนึ่ง ซึ่งเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ค้าที่จะได้รับผลกระทบในการขนส่ง ถ่ายสินค้าเข้าสู่ร้านค้ากันได้อย่างยากลำบาก ทั้งที่ปัจจุบันตลาดสดบ่อบัวก็มีแม่ค้าอยู่เป็นจำนวนมากถึงกว่า 500 ราย จนทำให้ผู้ซื้อแทบจะเข้าไปจับจ่ายสินค้ากันอย่างไม่ทั่วถึงอยู่แล้ว จึงอยากวอนขอความเป็นธรรมให้ผู้ได้รับสัมปทานระงับโครงการดังกล่าวเอาไว้ก่อน นายประดิษฐ์ กล่าว และกล่าวว่า ที่ผ่านมาทางพ่อค้าแม่ค้าในตลาดแห่งนี้ต่างถูกเอารัดเอาเปรียบ และถูกบีบขูดเลือดขูดเนื้อกันอย่างหนักอยู่แล้ว นับตั้งแต่ทางจังหวัดฉะเชิงเทราโดยนายสุวิทย์ คำดี ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราในขณะนั้น ร่วมกับทางเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา เข้ามาจัดระเบียบทางเท้าบนถนนชุมพล ซึ่งเดิมทีพ่อค้าแม่ค้าได้อาศัยพื้นที่ริมทางเท้าของถนนสายดังกล่าวทำการค้าขายอาหารสดในช่วงเช้ามืดกันมาอย่างยาวนานหลายสิบปีที่ผ่านมา และเมื่อทางจังหวัด และเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา เข้ามาจัดระเบียบ โดยให้พ่อค้าแม่ค้าขึ้นมาทำการค้าขายบนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 ส.ค.61 ที่ผ่านมา ซึ่งมีนายทุนได้รับสัมปทานเปิดให้จองสิทธิ์ในราคาล็อกละ 2 หมื่นบาท แบ่งเป็นล็อกขนาดกว้าง 5 ตารางเมตร ในราคาค่าเช่าแบบเรียกเก็บรายวันวันละ 50 บาทรวมเป็นเงิน 1,500 บาทต่อเดือน แต่ผู้ค้ากลับได้พื้นที่ค้าขายจริงเพียงขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 2 เมตร หรือเพียง 4 ตรม.เท่านั้น นอกจากนี้ยังถูกเรียกเก็บค่าน้ำค่าไฟแบบรายวันอีกด้วย โดยผู้ค้าจะถูกเรียกเก็บค่าไฟเป็นแบบรายจุด ในราคาจุดละ 10 บาท เช่น หลอดไฟ 1 หลอดคิด 10 บาท พัดลม 1 ตัวเสียอีก 10 บาท หากหลอดไฟขนาดใหญ่หน่อยคิดเพิ่มเป็น 20 บาท ไม่เว้นแม้แต่ที่ชาร์ตโทรศัพท์ก็จะเก็บเพิ่มอีก 10 บาทต่อวัน ขณะที่ค่าน้ำคิดวันละ 10 บาท และล่าสุดทางผู้ให้เช่ายังจะคิดค่าเช่าเพิ่มขึ้นอีกเป็นแผงละ 100 บาท ทั้งที่เพิ่งเช่าค้าขายกันมายังไม่ถึง 1 ปีเลย นายประดิษฐ์ กล่าว หลังจากตัวแทนชาวบ้านเข้ายื่นหนังสือต่อ นายวราห์ เขินประติยุทธ ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดฉะเชิงเทราแล้ว จึงได้เดินทางไปรวมตัวชุมนุมกันยังที่บริเวณแผงค้าขายในตลาดสดบ่อบัว พร้อมกับเรียกร้องไปถึงยัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาของพ่อค้าแม่ค้าชาวตลาดสดบ่อบัวที่มีปัญหาหลายด้านและเรื้อรัง สะสมมาอย่างยาวนานหลายสิบปี โดยระบุว่าอยากได้ตลาดประชารัฐ ตามโครงการของรัฐบาล โดย น.ส.ศิริรัตน์ ไชยโอสถ อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 44 ม.12 ต.ท่าไข่ กล่าวว่า หากเส้นทางถูกสร้างหลังคาโดมทับและปิดกั้นทำแผงค้าเพิ่มขึ้นมาอีก จะทำให้รถขนส่งสินค้าเข้าออกกันได้อย่างยากลำบากเนื่องจากตลาดสดบ่อบัวเป็นตลาดแบบค้าส่งเช้ามืด ที่มีผักสดมาลงคืนละเป็นตันๆ ในแต่ละราย หากรถเข้าไม่ถึงแล้วจะลงของขายกันได้อย่างไรจะทำให้พวกเราเดือดร้อนกันหมดโดยเฉพาะแผงค้าด้านใน ใจจริงชาวบ้านอยากได้ตลาดสดค้าขายของทางเทศบาล เหมือนกับทุกๆ จังหวัด ที่แต่ละจังหวัดล้วนมีตลาดให้ แต่ที่ จ.ฉะเชิงเทรา กลับไม่มีแม้แต่ อ.พนมสารคาม เป็นอำเภอเล็กๆ ยังมี แต่ที่ตัวจังหวัดกลับไม่มีตลาดสดของทางเทศบาล จากแต่ก่อนที่ทำการค้าขายกันบนถนนริมฟุตบาทเสียค่าวางแผงเพียงวันละ 10 บาท ทุกวันนี้เสียค่าแผงวันละ 50 บาทและจะขึ้นราคาเป็น 100 บาท ทั้งยังถูกขูดค่าน้ำค่าไฟอีกจุดละ 10 บาทอีกต่างหาก น.ส.ศิริรัตน์ กล่าว ขณะที่ นางวรัญญา ไตรเจริญวาณิชย์ อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 181 ถ.ประชาสรรค์ ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า อยากถามไปถึงยังทางเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา และนายกลยุทธ ฉายแสง (นายกก้อย) นายกเทศมนตรีว่า เหตุใดทำไมจึงไม่ช่วยชาวบ้าน ผู้ค้าขายในตลาดสดบ่อบัวที่เดือดร้อนไม่ใช่แค่คนสองคน ที่ผ่านมาเคยแต่มาพูดให้ความหวังมาเป็นเวลา 10-20 ปี แต่ยังไม่เคยทำสำเร็จเลย ตลาดบ่อบัวมีปัญหามาโดยตลอด ตั้งแต่อยู่ที่ตลาดเก่าจนมีตลาดใหม่เกิดขึ้นมา เราก็ดีใจแต่สุดท้ายกลับพาพวกเรามาเชือด พามาให้ถูกขูดรีดไม่ได้มีอะไรดีขึ้น ซึ่งปกติในจังหวัดอื่นเทศบาลอื่นๆ เขาต้องเข้ามาช่วยมาทำตลาดเทศบาลให้หรือทำอะไรให้ประชาชน แต่ทำไมที่นี่กลับไม่มีตนเองไม่เข้าใจ จึงอยากฝากถามไปถึงนายเทศมนตรีเทศบาลเมืองฉะเชิงเทราด้วยว่า ทำไมถึงที่นี่ไม่มี เห็นเรื่องอื่นที่เป็นหน้าตาของจังหวัดยังทำได้ แต่เวลาเรื่องปากท้องของประชาชนทำไมทำไม่ได้ นางวรัญญา กล่าว ส่วน นายมงคล พุ่มเจริญ อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 41/13 ถ.ริมคลองท่าไข่ เขตเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางหน่วยงานรัฐเข้ามาจัดระเบียบเฉพาะบริเวณด้านหน้าตลาดสดบ่อบัวอย่างเดียว แต่เหตุใดหรือทำไมไม่จัดระเบียบบริเวณด้านหน้าร้านค้าอื่นๆในตัวเมืองฉะเชิงเทราทั้งหมดด้วย เพราะเห็นวางแผงวางของขายกันอยู่เต็มฟุตบาทหน้าร้าน และยังเข้ามาจัดระเบียบเพื่อให้เข้ามาอยู่กับนายทุนอีก ทั้งที่รู้ว่าพวกเรานั้นต่อสู้อยู่กับนายทุนกันอยู่แล้ว นายมงคล กล่าว ด้านนายวราห์ กล่าวว่า หลังได้รับหนังสือร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมจากผู้ค้าในตลาดสดบ่อบัวแล้ว จะเร่งนำเสนอไปยังทางผู้บังคับบัญชา เพื่อเรียกให้ทั้งสองฝ่ายเข้ามาร่วมเจรจาหาข้อยุติกัน ซึ่งทราบว่าผู้ดำเนินการจัดตั้งตลาดแห่งนี้เป็นผู้ที่ได้รับสัมปทานที่ดินมาจากการรถไฟแห่งประเทศไทยตามระเบียบของการรถไฟ จึงอาจจะทำได้เพียงในลักษณะของการขอร้องหรือขอความร่วมมือให้หยุดการดำเนินการไปก่อนเท่านั้น นายวราห์ กล่าว