ถือเป็นศึกการค้า ที่ยืดเยื้อยาวนานครั้งหนึ่งเลยทีเดียว สำหรับ “สงครามการค้าโลก” ที่อุบัติขึ้นรอบนี้ โดยเฉพาะคู่กรณีระหว่าง “สหรัฐอเมริกา” กับ “จีนแผ่นดินใหญ่” ซึ่งปะทุคุโชนจนเป็นเปลวไฟสงครามขึ้น ตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ลากยาวมาถึง ณ ชั่วโมงนี้ จากสินค้าอุปโภค บริโภค อันเป็นของกิน ของใช้ สารพัด มูลค่ารวมแล้วหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ต่างฝ่าย ต่างตั้งกำแพงภาษี สกัดกั้นการนำเข้าสินค้าระหว่างกัน ก็หันมาสู่สมรภูมิด้านเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม อย่างกรณี “แซตทีอี” และ “หัวเว่ย” จนสะท้านวงการกันไปแล้ว ถึงขนาดที่ทางการจีนแผ่นดินใหญ่ พร้อมด้วยบรรดาสื่อมวลชนในแดนมังกร ออกมาขู่ด้วยเสียงกร้าวว่า จะไม่จำหน่าย “แร่ธาตุหายาก” หรือ “สินแร่หายาก (Rare Earth)” ให้แก่สหรัฐฯ เพื่อเป็นการตอบโต้ กระทั่ง ทำเอาทางการวอชิงตันมิอาจนิ่งเฉยต่อไปได้ ต้องรีบหาผู้จำหน่ายสินแร่หายากรายใหม่ ในกลุ่มประเทศแอฟริกา มาแทนที่ แบบเตรียมรับมือว่า หากจีนแผ่นดินใหญ่ ไม่ส่งอกแร่ธาตุหายากมาจำหน่ายให้จริงๆ สหรัฐฯ ก็ยังแร่ธาตุชนิดนี้ป้อนการผลิตสารกึ่งตัวนำ หรือเซมิคอนดักเตอร์ ที่ใช้ในอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูง เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หรือแบตเตอรีในรถยนต์ไฮบริด ล่าสุด สมรภูมิสัประยุทธ์ ได้บานปลายออกไปขยายวงสู่ สินค้าประเภท “อากาศยานไร้คนขับ” หรือ “โดรน” และ “กล้องโทรทัศน์วงจรปิด” หรือ “ซีซีทีวี” เข้าให้แล้ว “โดรน” ที่หน่วยดับเพลิงของสหรัฐฯ ใช้ในภารกิจกู้ภัยในเหตุเพลิงไหม้ รวมถึงไฟไหม้ป่า เมื่อปรากฏว่า ทางการสหรัฐฯ โดย “สำนักงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์” หรือ “ดีเอชเอส” ซึ่งเป็นหน่วยงานในกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิแห่งชาติสหรัฐฯ พร้อมด้วย “สำนักงานด้านความปลอดภัยทางระบบสิ่งสาธารณูปโภคพื้นฐานแห่งรัฐ” ออกมาประสานเสียงเพรียกเตือน ต่อกรณีที่บรรดาหน่วยงานต่างๆ ของทางการสหรัฐฯ ใช้ “อากาศยานไร้คนขับ” หรือ “โดรน” และ “กล้องโทรทัศน์วงจรปิด” หรือ “ซีซีทีวี” ที่สั่งซื้อนำเข้ามาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ว่าอาจส่งผลกระทบแบบถึงขนาดเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติได้ กล้องโทรทัศน์วงจรปิด ตรวจการณ์ด้านการจราจรบนถนนสายหนึ่งในสหรัฐฯ โดยทางการลุงแซม แจกแจงว่า ทั้งโดรนและกล้องซีซีทีวีข้างต้น อาจะถูกจีนใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับการขโมยข้อมูลสำคัญต่างๆกลับไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ได้ โดยผ่านช่องทางการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ในระหว่างที่อุปกรณ์เหล่านั้นกำลังทำงาน ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า บรรดาหน่วยงานของทางการสหรัฐฯ หลายแห่ง ใช้โดรน หรือไม่ก็เป็นกล้องซีซีทีวีจากจีนแผ่นดินใหญ่ เช่น หน่วยงานดับเพลิง เป็นต้น ซึ่งใช้โดรน เป็นอุปกรณ์ตรวจจับสิ่งมีชีวิตในพื้นที่ประสบเหตุ เป็นอาทิ พร้อมระบุชื่อยี่ห้อของโดรนเสร็จสรรพว่า “ดีเจไอ (DJI)” ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ใน “เสิ่นเจิ้น” ของจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเมื่อเอ่ยถึงโดรนของผู้ผลิตรายนี้ ต้องนับว่า เป็นรายใหญ่ของโลก จากการที่ครองส่วนแบ่งการตลาดโดรนทั่วโลกถึงร้อยละ 74 ด้วยยอดจำหน่ายของโดรนหลายรุ่น โดยเฉพาะรุ่น “แฟนธอม” อันยอดฮิต สำนักงานของบริษัทดีเจไอ ในนครเสิ่นเจิ้น จีนแผ่นดินใหญ่ นอกจากโดรนแล้ว ทางการสหรัฐฯ ก็เตือนเรื่องการใช้กล้องซีซีทีวี จากจีนแผ่นดินใหญ่ว่า จะถูกขโมยข้อมูลสำคัญกลับไปจีนแผ่นดินใหญ่ในทำนองเดียวกันกับโดรน พร้อมระบุชื่อยี่ห้อเสร็จสรรพว่า “ฮิควิชัน (Hikvision)” ระบุไม่ระบุเปล่า แต่ทาง “กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ” ยังกำลังพิจารณาที่จะขึ้น “บัญชีดำ” ต่อบริษัทผู้ผลิตกล้องซีซีทีวีรายนี้ด้วย บริษัท ฮิควิชัน ในนครหางโจว จีนแผ่นดินใหญ่ อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า การสกัดกั้นทั้งโดรนและกล้องซีซีทีวีจากจีนแผ่นดินใหญ่ มิใช่เรื่องง่ายๆ เพราะหน่วยงานต่างๆ ของทางการสหรัฐฯ ล้วนใช้สินค้าของทั้งสองยี่ห้อนี้แทบทั้งสิ้น เอาเฉพาะโดรนของดีเจไอ ก็มีตัวเลขว่า หน่วยงานทั้งหลายในสหรัฐฯ ใช้กันมากถึงเกือบร้อยละ 80 ด้วยกัน เมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่นๆ ที่ประสิทธิภาพใช่ว่าจะเหนือ แถมยังแพงกว่ากันเป็นไหนๆ