ในสภาวะที่การท่องเที่ยวยังเป็นตัวทำรายได้หลักของประเทศไทย จึงทำให้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ส่งเสริม พร้อมผลักดันตัวเลขรายได้ให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ในแต่ละปี จึงต้องทำการบ้านอย่างหนักเตรียมประชุมใหญ่ สรุปแผนยุทธศาสตร์ปี 2563 ช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้ บูรณาการภาพรวม ทั้งนี้ นาย จรัญ อ้นมี รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า เแผนยุทธศาสตร์สำหรับปี 2563 นั้น ทุกตลาดต้องเฟ้นหาจุดขายในตลาดที่ตัวเองรับผิดชอบ เพื่อนำมาบูรณาการภาพรวมของแผนให้มีความชัดเจน โดยตลาดใหญ่ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1.ตลาดจีน สัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของตลาดรวม 2.ตลาดยุโรป ปัจจุบันยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว และ 3.ตลาดภายในประเทศ ซึ่ง ททท.ได้พยายามที่จะรักษาสัดส่วนให้อยู่ในระดับ 33-34% ของตลาดรวม โดยในส่วนของตลาดต่างประเทศนั้น ยังคงเน้นเรื่องของการแบ่งสัดส่วนกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น รวมถึงหาแนวทางในการกระจายนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวต่อเนื่องตลาดทั้งปี โดยเฉพาะในตลาดยุโรปที่ปกติแล้วนิยมเดินทางท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสสุดท้ายของปี ด้าน นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านการสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กล่าวว่า มีการเพิ่มเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อมเข้าไปในแผนงานหลัก เพราะภาคการท่องเที่ยวของไทยเป็นตัวขับเคลื่อนหลักทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีสัดส่วนถึง 20% ของผลิตภัณฑ์มวลประชาชาติ (จีดีพี) ดังนั้น เป้าหมายของ ททท.ในปี 2563 จะต้องเพิ่มสัดส่วนของคนไทยเที่ยวในไทยให้ได้ 35% ของรายได้รวม จากปัจจุบันอยู่ระดับ 30% โดยในปี 2562 คาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวจะประมาณ 3.4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปี 2561 ที่มีรายได้อยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นทำให้คนไทยนิยมไปต่างประเทศมากขึ้น ทางททท. จึงได้กำหนดกลยุทธ์ในการส่งเสริมและกระตุ้นกลุ่มคนไทย โดยมีนโยบายเที่ยวเมืองรอง ที่ได้ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เจาะกลุ่มคนวัยเกษียณอายุที่มีสุขภาพดี อายุระหว่าง 60-70 ปี เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีเวลา มีเงิน และพร้อมเดินทางไปท่องเที่ยวในวันธรรมดาได้ มุ่งเน้นตลาดใหม่ ส่วน นางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ในแผนยุทธศาสตร์ปี 2563จะมุ่งเน้นตลาดใหม่ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตขึ้นอย่างน่าสนใจ ซึ่งกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วโลก เช่น แอฟริกาใต้ที่มีการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยกว่า 10% หรือบราซิลและอาร์เจนตินาที่มีประชากรจำนวนมากรวมถึงประเทศในแถบยุโรปตะวันออก อย่าง เช็ก สโลวาเกียหรือโปแลนด์ที่แม้มีจำนวนไม่มาก แต่นักท่องเที่ยวล้วนเป็นกลุ่มศักยภาพทั้งสิ้นรวมถึงในรัสเซียยังมีพื้นที่ในแถบตะวันออกไกล เป็นต้น "การเจาะไปที่กล่มตลาดใหม่มากขึ้น เนื่องจากตลาดเดิมในระยะไกลหลายตลาดเริ่มมีปัญหา อาทิ ตลาดยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่อง โดยเฉพาะสหราชอาณาจักรที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากเป็นอันดับต้น ๆ ในภูมิภาคประสบปัญหาเบร็กซิท ส่วนตลาดตะวันออกกลางก็ได้รับผลจากการที่อิหร่านถูกแทรกแซงทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง" นางศรีสุดา กล่าว นอกจากนี้ยังมุ่งขยายตลาดผ่านหลายช่องทาง เพื่อให้รายได้จากนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกาเติบโต 12% ตามเป้าหมาย ผ่านแคมเปญ โอเพ่น ทู เดอะ นิว เชด เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการทางด้านการท่องเที่ยวใหม่ ๆ อย่างเมืองรองให้กับไทยที่เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวมากว่า 60 ปี นอกจากนี้ยังเพิ่มโอกาส และความเป็นไปได้ในการเดินทางของนักท่องเที่ยวผ่านดีลและโปรโมชั่นต่าง ๆ ซึ่งตลาดยุโรปทำแคมเปญไทยแลนด์ ฟอร์ มอร์ เสริมสิทธิพิเศษเข้าไปในแพ็กเกจเพื่อจูงใจนักท่องเที่ยวให้ตัดสินใจง่ายขึ้น ส่วนตลาดแอฟริกาใต้จะทำงานร่วมกับสายการบินกาตาร์ เพื่อขยายเส้นทางและความถี่ของเที่ยวบินจากทวีปแอฟริกาสู่ประเทศไทยมากขึ้น และในตลาดตะวันออกกลางนั้น ททท.จะหันมาจับกลุ่มที่มีรายได้มั่นคงอย่างข้าราชการ โดยอยู่ระหว่างการเจรจานำแพ็กเกจเที่ยวไทยลงไปบรรจุในบัตรสวัสดิการข้าราชการของกาตาร์ก่อนจะขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มตะวันออกกลางต่อไป โปรโมชั่นกับพันธมิตร อย่างไรก็ตาม นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิค การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวต่อว่า ภาพรวมสงครามการค้าระหว่างจีน กับสหรัฐ เริ่มส่งผลอย่างชัดเจนกับสภาวะเศรษฐกิจของจีน จึงทำให้ทางจีนเริ่มหันมารณรงค์ให้คนจีนเที่ยวในประเทศกันเอง ซึ่งน่าจะส่งผลถึงการทำงานด้านท่องเที่ยวของไทยที่จะต้องทำงานหนักมากขึ้น เพื่อดึงนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาไทยเช่นเดิม ซึ่งอาจจะต้องปรับการทำงานทางตลาด ด้วยการทำโปรโมชั่นกับพันธมิตรมากขึ้น ทั้งสายการบิน และทราเวลเอเยนต์ต่างๆ โดยมีกลยุทธ์เด็ดๆ ในเรื่องช็อปปิ้ง เป็นหลัก โดยเป็นโอกาสของททท.ที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตร ไม่ว่า จะเป็นห้างสรรพสินค้า หรือผู้ผลิตสินค้า สายการบินที่เอื้อเรื่องน้ำหนัก เป็นต้น