ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย คำๆนี้น่าจะเหมาะสมกับสังคมไทยอย่างมาก เพราะพวกเราส่วนใหญ่ถูกหล่อหลอมมาด้วยนิทานกวนโอ๊ยศรีธนญชัย ซึ่งมีอิทธิพลครอบงำความคิดเชิงตรรกของคนไทยอย่างยิ่งยวด ตัวอย่างของอิทธิพล ความคิดที่เรียกว่าตะแบง หรือฉลาดแกมโกงของศรีธนญชัย เช่น เขาเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าแผ่นดินว่าเขาได้สร้างบ้านทองทั้งหลัง และกราบบังคมทูลเชิญทอดพระเนตร แต่พอเสด็จไปถึงก็ต้องทรงตะลึงเพราะมันเป็นเพียงเรือนไม้ และทรงกริ้วว่า นายศรีธนญชัยมากราบบังคมทูลเท็จ แต่นายศรีฯก็กราบทูลว่าเรือนหลังนี้เป็นเรือนทองจริงๆ เพราะสร้างจากไม้ทองหลางล้วนๆ เมื่อเจ้าเหนือหัวได้ฟังก็ไม่อาจเอาผิดได้ เพราะมันมากราบทูลอย่างที่เรียกว่าความจริงครึ่งหนึ่ง (HALF TRUTH) แต่ก็ยังทรงกริ้วที่ถูกมันหลอก จึงรับสั่งให้นางสนมกำนัลที่ตามเสด็จให้ไปอึ ฉี่รดเรือนเจ้าศรีฯ แล้วเสด็จกลับ ให้หลังไม่นานสาวสรรค์กำนัลนางก็พากันร้องไห้ฟูมฟายกลับมาทูลฟ้องว่า ได้ทำตามรับสั่งแล้ว แต่ถูกนายศรีฯ เฆี่ยนเอา จึงทรงกริ้วอีกถึงขนาดจะให้ประหาร เนื่องจากนางในเหล่านั้นทำตามรับสั่ง แต่นายศรีฯบังอาจมาเฆี่ยนได้อย่างไร จึงให้ทหารไปคุมตัวมา รับสั่งกันต่อหน้าเพื่อจะได้ลงโทษได้อย่างแฟร์ๆฐานขัดรับสั่ง แต่นายศรีฯก็สามารถเอาตัวรอดได้อีก โดยกราบบังคมทูลว่า ข้าพระองค์ได้ทำตามรับสั่งทุกประการ แต่นางในเหล่านี้ทำนอกรับสั่งจึงต้องเฆี่ยน เพราะรับสั่งให้ถ่ายทั้งหนักเบาใส่เรือน แต่พวกเธอดันมาผายลมใส่ด้วยซึ่งถือว่าผิดรับสั่ง จึงเฆี่ยนสั่งสอน เรื่องแบบนี้ยังมีอีกหลายตอนซึ่งถูกใจคนรุ่นเก่าๆกันมาก และฝังหัววิธีคิด จนถ่ายทอดมาถึงยุคปัจจุบันแบบฝังรากลึกลงบนความคิดของคนรุ่นเก่า และรุ่นกลางเก่า กลางใหม่ ที่ยังพอได้รับมรดกทางความคิดตกทอดกันมา ส่วนคนรุ่นใหม่จะรับหรือไม่ต้องรอดูกันไป ตัวอย่างของการตะแบงในโลกยุคปัจจุบันที่จะยกเป็นอุทธาหรณ์ก็เห็นจะเป็นเรื่องของครูปรีชากับลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัล จนเป็นเรื่องราวถึงโรงถึงศาล เพราะครูปรีชาฟ้องหมวดจรูญ ผู้ถือครองลอตเตอรี่ว่าลักทรัพย์หรืออะไรทำนองนี้ แต่ศาลชั้นต้นได้พิเคราะห์แล้วไม่เชื่อคำกล่าวอ้าง รวมทั้งการให้การของพยาน จึงยกฟ้อง ซึ่งครูปรีชาก็จะพยายามอุทธรณ์ต่อไป อีกกรณีที่ค่อนข้างคลาสิคและเกี่ยวกันกับการบ้านการเมืองก็คือ มีการกล่าวอ้างและเผยแพร่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 60 นี้ปราบโกงได้ ฉะนั้นพวกนักการเมืองจึงกลัวและพยายามจะขอแก้ไข อันนี้ไม่รู้รวมถึงพรรคปชป.หรือไม่ ครั้นมีการตั้งคำถามว่ามันปราบโกงได้อย่างไร ผู้เสพข้อความนี้ก็มีอาการของขึ้น แต่ก็อธิบายว่าที่ผ่านมารัฐธรรมนูญทั้งหลายเอาผิดทักษิณไม่ได้ ปล่อยให้ลอยนวลอยู่ต่างประเทศ ก็มีคำถามว่าแล้วไง มีรัฐธรรมนูญ 60 แล้วและอ้างว่าปราบโกงได้ก็ยังเห็นลอยนวลอยู่เลย คำตอบผู้เสพฯก็บอกว่าในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้กำหนดว่า การฉ้อราษฎร์บังหลวงต่อไปนี้จะไม่มีอายุความ คือมีผลไปเรื่อยๆ จนกว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยจะถึงชีวิต (ไม่รู้ว่าไปถึงเจ็ดชั่วโคตรหรือเปล่า) แต่คนถามก็ถึงกับงง เพราะไม่แน่ใจว่ามันจะปราบได้เพียงขยายอายุความแบบไม่สิ้นสุด ก็เลยมีการย้อนถามว่าถ้าปราบได้จริงอย่างว่า ไหนลองไปจับตัวทักษิณกลับมาลงโทษให้ได้ด้วยรัฐธรรมนูญนี่ทีซิ คราวนี้วงแตกครับเพราะมีมิตรรักนักเพลงที่เชียร์รัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมารุมสกรัมผู้ตั้งคำถาม จนต้องถอยตั้งหลัก ในจำนวนนั้นก็มีนักกิจกรรมเสื้อสีท่านหนึ่ง ที่มีฐานอยู่ต่างประเทศก็เข้ามาสนับสนุนเรื่องรัฐธรรมนูญ ก็มีคนแย้งว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ตั้งใจร่างมาเพื่อเล่นงานคนๆเดียว คือ ทักษิณ แต่ทำให้ระบบทั้งระบบมันรวนเรไปหมด และอาจนำไปสู่การจลาจลได้ ผู้สนับสนุนรัฐธรรมนูญจากต่างประเทศก็ตอบกลับว่า ต้องยอมรับว่ามันมีจุดบกพร่องต้องแก้ไขบ้าง แต่ในภาวะอย่างนี้มันต้องยอมรับอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ ฝ่ายวิจารณ์รัฐธรรมนูญก็บอกว่า อ้าวก็เห็นว่าพี่ท่านคัดค้านการปกครองแบบเผด็จการไม่ใช่หรือ หนุ่มเสื้อสีก็ตอบว่าเปล่า เขาต่อต้านการโกงเลยโดนคำถามว่าแล้วเชื่อไหมว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ปราบโกงได้ เขาก็แบ่งรับแบ่งสู้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่ง แต่ก็ต้องประกอบกับการใช้กฎหมายฉบับอื่นๆด้วย อย่างไรก็ตามเขาก็ยืดอกยอมรับว่าที่สำคัญมันอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมายด้วย ซึ่งเขาก็เห็นด้วยกับฝ่ายพิพากษ์รัฐธรรมนูญว่ามันต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ด้วยตรรกวิบัติที่ฝังรากลึกอยู่ในคนไทยนี่เองทำให้วิธีคิดมันไม่ค่อยจะธรรมดาเหมือนชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลาย และยังแยกไม่ออกระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย โดยไปโฟกัสว่าประชาธิปไตยหมายถึงมีการเลือกตั้ง ซึ่งวุ่นวาย สับสนซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันมั่วไปหมด และได้นักการเมืองขี้โกงเข้ามาโกงบ้านโกงเมือง จึงสรุปว่าประชาธิปไตยนำมาซึ่งการคอร์รัปชั่นโกงบ้านโกงเมือง ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นตรรกวิบัติ เพราะการโกงนั้นมันเกิดได้ทั้งในระบอบเผด็จการและระบอบที่มีการเลือกตั้ง แม้แต่ในระบอบประชาธิปไตยก็ยังมีแต่มันตรวจสอบกันได้ไม่ยาก ต่างจากระบบเผด็จการ อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้ได้อ่านข้อความที่ท่านอานันท์ ปันยารชุน สนนทนากับคุณสุทธิชัย หยุ่น ความตอนหนึ่งสรุปว่า ในปัจจุบันการคอร์รัปชั่นมันสลับซับซ้อนมาก โดยเฉพาะการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย ซึ่งอาจนำมาสู่การขายบ้านขายเมือง เสียแผ่นดินทีเดียว ถ้าอย่างนั้นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวคงไปปราบโกงไม่ได้แน่ ต่อให้มีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีกกี่ฉบับ ถ้าคนยังขาดจิตสำนึกว่าเราจะปล่อยเฉยว่าไม่ใช่เรื่องของเราอีกต่อไปไม่ได้ เพราะอันตรายมาเยือนถึงเราแล้ว และจะเดือดร้อนไปทั่วในอนาคต การที่ไปเชื่อว่ารัฐธรรมนูญ 60 ปราบโกงได้ก็คือการผลักภาระไปให้รัฐธรรมนูญ โดยขาดตรรกที่ถูกต้องมันก็เป็นอันตรายต่อบ้านเมืองเช่นกัน อนึ่งประชาชนจะต้องคอยปกป้องแผ่นดินและเงินภาษีอากรของเรา อย่าคิดว่าธุระไม่ใช่ การกระทำหลายอย่างที่เรียกว่า ผลประโยชน์ทับซ้อน ก็ถือได้ว่าเป็นการคอร์รัปชั่นอย่างหนึ่งเหมือนกัน เช่น การแต่งตั้งส.ว. ญาติพี่น้องเป็นต้น ซึ่งก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แต่มันก็เปิดช่องให้มีการฉ้อฉลได้ จึงอาจกล่าวได้ว่ารัฐธรรมนูญต่อให้ดีอย่างไร ก็ไม่อาจแก้ปัญหาของสังคมได้ รวมทั้งการโกงชาติที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่และเรื้อรัง ประชาชนจึงต้องตื่นตัวลุกขึ้นมาปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างน้อยก็ส่งเสียงให้ผู้ปกครองได้รับรู้ว่าเราไม่ได้นิ่งเฉย หรืองมงายกับความเชื่อที่เป็นตรรกวิบัติแบบศรีธนญชัยอีกต่อไปแล้ว