สะเทือนขวัญ สะท้านโลก มิใช่น้อย กับถ้อยแถลงด้วยท่าทีสุดแข็งกร้าวเป็นที่ยิ่งของรัฐมนตรีกลาโหม สำหรับ การออกมาแถลงของ “นายพล เหว่ย เฟิ่งเหอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งจีนแผ่นดินใหญ่” ซึ่งมีขึ้นเมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ เมื่อปรากฏว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของจีนแผ่นดินใหญ่ ประเทศฉายา แดนมังกร ประกาศด้วยทีท่าอันแข็งกร้าวว่า “จีนพร้อมรบกับทุกฝ่ายที่พยายามเข้ามาแทรกแซงการรวมชาติกับไต้หวัน หรือพยายามแบ่งแยกไต้หวันออกไปจากจีน” นายพล เหว่ย เฟิ่งเหอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของจีนแผ่นดินใหญ่ กล่าวในเวทีการประชุมสุดยอดด้านความมั่นคงแห่งเอเชีย ที่สิงคโปร์ การประกาศข้างต้น ที่เปรียบประดุจดังเป็น ประกาศิต ไม่ผิดกับสายฟ้าฟาด ซึ่งมิใช่แต่เฉพาะ “ไต้หวัน” จีนเล็กเพื่อร่วมเชื้อชาติ แต่แยกเกาะ แยกดินแดน และอธิปไตยออกไปเมื่อเกือบ 70 ปีก่อน (จะครบ 70 ปีเต็ม ในวันที่ 7 ธ.ค.2562 ปลายปีนี้) ให้ต้องอกสั่นขวัญผวา ในฐานะ “เป้าหมายโดยตรง” ก็ยังลามเลยพาดไปถึง “สหรัฐอเมริกา” พญาอินทรี ที่เปรียบเสมือนเป็นลูกพี่ใหญ่ ที่คอยกางปีกป้องต่อไต้หวัน ซึ่งทางการสนับสนุนเป็นประการต่างๆ กระทั่งทางทหารนับตั้งแต่ประเทศเกาะแห่งนี้ สถาปนาขึ้น เมื่อ ธ.ค. 2492 เป็นต้นมา การอพยพจากจีนแผ่นดินใหญ่ไปเกาะไต้หวัน เมื่อช่วงปลายปี 2492 แถมสถานที่ที่เจ้ากระทรวงกลาโหมแห่งจีนแผ่นดินใหญ่ ใช้เป็นเวทีการประกาศ แถลงคำประกาศิต ก็ต้องบอกว่า มิใช่เวทีธรรมดาๆ ทว่า เป็นถึงเวที “การประชุมสุดยอดด้านความมั่นคงแห่งเอเชีย” หรือที่มักเรียกกันติดปากว่า “การเสวนาด้านความมั่นคงแชงกรี-ลา ไดอะล็อก” นั่นเอง โดยการประชุมสุดยอดข้างต้นจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ณ โรงแรมแชงกรี-ลา ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูง โดยเฉพาะระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือไม่ก็ ผบ.คุมกองกำลังเหล่าทัพต่างๆ จากทั่วโลก ตบเท้าเข้าร่วมประชุมกันอย่างคับคั่ง คำประกาศิตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งแดนมังกร ยังระบุด้วยวาจาอันสุดแกร่งอีกว่า หากจำเป็น ทางการปักกิ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ ก็พร้อมใช้กำลังทางทหารเข้ายึดเกาะไต้หวัน ทั้งนี้ จากถ้อยแถลงคำประกาศอันกร้าวแกร่งข้างต้น ก็ได้รับการจับตาจากบรรดาผู้สันทัดกรณีทันทีว่า จะยิ่งเพิ่มดีกรีร้อนแรงในความบาดหมางของสหรัฐฯ กับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ก็รุ่มร้อนกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ให้ดุเดือดเลือดพล่านกันยิ่งขึ้น ยิ่งเมื่อพิจารณาถึงนโยบายเกี่ยวกับไต้หวันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ฝีปากกล้าคนปัจจุบันด้วยแล้ว ก็ยิ่งน่าเป็นห่วงในสถานการณ์ เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ มีนโยบายสนับสนุนต่อไต้หวันให้แยกตัวออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ โดยปรากฏเป็นรูปธรรมเชิงปฏิบัติการจากทางการสหรัฐฯ สมัยประธานาธิบดีทรัมป์ หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการขายอาวุธสงครามชุดใหม่ให้แก่ไต้หวัน ด้วยมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ บรรดาอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพไต้หวันที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ การเปิดสถานทูตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในกรุงไทเป เมืองหลวงของไต้หวัน ภายใต้ชื่อ “สถาบันอเมริกาในไต้หวัน” เป็นอาทิ “สถาบันอเมริกา” หรือสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงไทเป ในไต้หวัน ทั้งนี้ บรรดาปฏิบัติต่างๆ ของทางการสหรัฐฯ เหล่านี้ ก็สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงแก่พญามังกร ราวกับถูกตีเข้าที่ขนดหาง บรรยากาศการเผชิญหน้าในกรณีไต้หวัน ทางการสหรัฐฯ กับจีนแผ่นดินใหญ่ ก็มีมึนตึง สลับกับการคุโชนร้อนกันเรื่อยมา จนเป็นที่จับตาของบรรดานักวิเคราะห์ไปทั่วโลก ในฐานะที่ไต้หวัน เป็นพื้นที่อ่อนไหว หรือเซนซิทีฟแอเรีย พื้นที่หนึ่ง เรียกว่า ชวนระทึกขวัญที่จะสุ่มเสี่ยงเกิดสงครามกันง่ายๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อนายพล เหว่ย เฟิ่งเหอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลางโหมของจีน ประกาศทิ้งท้ายว่า มังกรพร้อมรบทุกเมื่อ และพร้อมที่จะใช้กำลังหากจำเป็นกับไต้หวัน ก่อนทิ้งหมัดเข้ามุมด้วยการหยิบยกกรณีที่ทางการจีนใช้กำลังกวาดล้างพวกเห็นต่างต่อต้านรัฐบาลปักกิ่ง ณ จตุรัสเทียนอันเหมิน เมื่อ 30 ปีก่อนว่า เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะทำให้จีนแผ่นดินใหญ่ เจริญรุ่งเรืองทั้งทางเศรษฐกิจ และมั่นคงเป็นปึกแผ่นมาตราบเท่าทุกวันนี้ ก็ยิ่งทำให้เหล่าผู้สันทัดกรณีหวาดหวั่นว่า มังกรจีนอาจใช้ปฏิบัติการอันรุนแรงละเลงเลือดเช่นนั้นกับไต้หวัน เพื่อความสงบราบคาบเข้าให้สักวัน