การแก้ไขปัญหาการจราจรที่มีรถติดมหาโหดในเมืองหลวงใหญ่ๆทั่วโลก ไม่ได้แก้ด้วยการขยายถนน แต่จะแก้ไขด้วยการขยายระบบรางให้มากขึ้น ยิ่งครอบคลุมพื้นที่ได้มากไหร่ ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนได้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ที่มีการจราจรติดขัดติดอันโลกเช่นเดียวกัน ซึ่งทุกรัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการจราจรมาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้อย่างเบ็ดเสร็จ โดยหนึ่งในวิธีการแก้ไข คือ การขยายรูปแบบ “การขนส่งทางราง” ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เห็นได้จากรัฐบาลไฟเขียวให้มีขยายการเส้นทางบริการรไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพ ปริมณฑล และจังหวัดใหญ่ๆ ที่มีการจราจรติดขัด ให้มีรถไฟฟ้าบริการเป็นทางเลือกมากขึ้น
นอกจากรถไฟฟ้าแล้ว “รถไฟปกติ” ก็เป็นการขนส่งสาธารณะอย่างหนึ่งที่มีประชาชนใช้บริการเป็นจำนวนมากในการเดินทาง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญ จะมีประชาชนประชาชนใช้บริการเกือบแสนคน/วัน จึงจำเป็นที่จะต้องดูแลความปลอดภัย โดยเฉพาะ “ราง” ที่เปรียบเสมือน “ถนน” ที่ขบวนรถไฟใช้วิ่งไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆในปัจจุบันมีความยาวประมาณกว่า 7,000 ตารางกิโลเมตร โดยที่ผ่านมาดูแลบำรุงรักษารางนั้น เป็นหน้าที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเห็นได้ว่าที่ผ่านมาการพัฒนาการเดินทางด้วยระบบรางยังไม่มีมากนัก เนื่องจากงบประมาณในการดูแลรักษามาจากงบประมาณก้อนเดียวกับการดูแลรักษาขบวนรถไฟ ทำให้ไม่เพียงพอต่อการพัฒนารางให้มีประสิทธิภาพการใช้งานได้ดีขึ้น
ดังนั้นเพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้การเดินทางด้วยรถไฟมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีการแยกการดูแล “ราง” ซึ่งเป็นเสมือนถนน ออกมาจากการรถไฟฯ เช่นเดียวกับ กรมทางหลวง หรือกรมทางหลวงชนบท ที่ดูแลถนน ส่วนรถยนต์ เป็นหน้าที่ของกรมการขนส่งทางบก จึงได้มีการตั้ง “กรมราง” ขึ้น เพื่อการพัฒนารถไฟไทย ให้ มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยการพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2562 (จัดตั้งกรมการขนส่งทางราง) ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. 2562โดยแบ่งส่วนราชการของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และกรมการขนส่งทางรางให้สอดคล้องกับการจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง ซึ่งกรม รางฯ จะกำหนดกติกา เป็นผู้กำกับดูแลมาตรฐาน รวมถึงวางแผนงาน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้ง “สราวุธ ทรงศิวิไล” ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ดำรงตำแหน่ง “อธิบดีกรมการขนส่งทางราง” ซึ่งเป็นการเปิดตัวอธิบดีป้ายแดงของกรมรางฯอย่างเป็นทางการ ขณะที่ “ชัยวัฒน์ ทองคำคูณ” ปลัดกระทรวงคมนาคม ส่ง “สรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์” ผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม ไปนั่งเก้าอี้ “รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง”
ทั้งนี้ “อธิบดีกรมการขนส่งทางรางป้ายแดง” เผยว่า เป็นงานที่ท้าทาย เพราะต้องกำกับดูแลมาตรฐานต่าง ๆ เพื่อให้งานระบบรางของประเทศ ทั้งรถไฟ รถไฟฟ้า และรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีด) มีมาตรฐานเดียวกัน ประชาชนผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกปลอดภัย และความพึงพอใจสูงสุด และถึงแม้ว่าหลายคนจะมองว่ากรมรางเป็นแค่เสือกระดาษ แต่ส่วนตัวมองว่า ไม่ใช่เพราะหลังจากร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง ซึ่งคาดว่าน่าจะผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร และมีผลบังคับใช้ปลายปีนี้ จะทำให้เป็นหน่วยงานที่มีกฎหมายรองรับ อำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ชัดเจนมากขึ้น และที่สำคัญจะสามารถกำกับดูแลมาตรฐาน โดยเฉพาะความปลอดภัย และงานบริการต่าง ๆ ของระบบขนส่งทางรางให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยผู้ประกอบการทุกรายต้องปฏิบัติตามกฎข้อบังคับต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด หากไม่ปฏิบัติตามก็ต้องถูกลงโทษ นอกจากนี้จะมีตัวชี้วัดต่าง ๆ คอยประเมินงานบริการทั้งความตรงต่อเวลา และความพึงพอใจของผู้โดยสารด้วย
อย่างไรก็ตามขณะนี้สิ่งแรกที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ การกำหนดยุทธศาสตร์ และแผนพัฒนาขนส่งทางราง รวมถึงการวางโครงข่ายพัฒนาให้รถไฟไทยทุกระบบมีความเชื่อมโยงกันทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันต้องทำให้เชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะโหมดการเดินทางอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทาง ที่สำคัญในเรื่องค่าโดยสารก็ต้องมีราคาที่เหมาะสม และมีความเป็นธรรม
สราวุธ กล่าวว่า ส่วนเรื่องโครงสร้าง และกรอบอัตรากำลัง โดยกรอบอัตรากำลัง ของกรมฯ อยู่ที่ 176 อัตรา โอนมาจาก สนข.แล้ว 44 อัตรา ที่ประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อกพ.) กระทรวงคมนาคม จัดอัตราจากตำแหน่งยุบเกษียณของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมมาให้เพิ่มอีก 20 อัตรา รวมเป็น 64 อัตรา ส่วนที่เหลืออีก 112 อัตราเพื่อให้ครบตามกรอบที่วางไว้ก็จะต้องเสนอที่ประชุม อกพ. พิจารณาต่อไป เพื่อให้งานของกรมฯทำงานได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกันมีมุมมองที่น่าสนใจของ “ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์” อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ฝ่ายโยธาและจราจร ได้มีมุมมองที่น่าสนใจในการตั้ง “กรมการขนส่งทางราง” ในครั้งนี้ ว่า “จะสามารถพัฒนา “รถไฟไทย” ได้จริงหรือ” เนื่องจากการจัดตั้งกรมรางฯจะทำหน้าที่ลงทุนก่อสร้าง และบำรุงรักษาทางรถไฟ และสถานีรถไฟ รวมทั้งติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ ทั้งนี้เพื่อให้กรมรางฯเป็นหน่วยราชการแบกรับภาระหนี้สินแทนการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยหลังจากการจัดตั้งกรมรางฯแล้ว รฟท. จะทำหน้าที่ให้บริการเดินรถไฟเพียงอย่างเดียว ไม่มีหน้าที่ในการก่อสร้างและบำรุงรักษาอีกต่อไป โดย รฟท. มีรถไฟและที่ดินเป็นทรัพย์สิน
และจะความพยายามวิเคราะห์ว่าการตั้งกรมรางฯจะช่วยพัฒนารถไฟไทยได้อย่างไร ก็ได้คำตอบว่าถ้ารัฐบาลรับผิดชอบเงินลงทุนและเงินบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานของรถไฟแทน รฟท. ก็จะทำให้ รฟท.มีขีดความสามารถในการให้บริการเพิ่มขึ้น แต่การสนับสนุนโดยรัฐบาลดังกล่าวนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องจัดตั้งกรมรางขึ้นมาใหม่ เพียงแค่ปรับโครงสร้างการบริหารเท่านั้นก็พอ โดยแบ่งการดำเนินงานของ รฟท. เป็น 3 ส่วน ดังนี้
1.ส่วนโครงสร้างพื้นฐาน : ให้รัฐบาลเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างและบำรุงรักษาทางรถไฟ สถานีรถไฟ และการติดตั้งอาณัติสัญญาณ เช่นเดียวกับการที่รัฐบาลลงทุนก่อสร้างและบำรุงรักษาถนนของกรมทางหลวง
2.ส่วนการให้บริการเดินรถไฟ : เป็นการให้บริการขนส่งผู้โดยสาร การขนส่งสินค้า และสถานีขนถ่ายสินค้า
3. ส่วนการบริหารทรัพย์สิน : เป็นการพัฒนาที่ดินของ รฟท. ซึ่งมีอยู่ถึง 234,976.96 ไร่ รวมทั้งการให้เช่าบริเวณสถานีรถไฟ การให้เช่าที่ติดตั้งเคเบิลใยแก้ว และธุรกรรมอื่นๆ
หากปรับโครงสร้างการบริหาร รฟท.ได้เช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องจัดตั้งกรมรางขึ้นมา เพราะการจัดตั้งกรมรางมีข้อเสียคือ จะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องบรรจุข้าราชการเข้าทำงานในกรมรางฯ ในขณะที่ไม่สามารถลดจำนวนพนักงาน รฟท. ลงได้ หากต้องการจะโอนพนักงาน รฟท. มาอยู่กรมรางฯ ก็คงไม่มีใครมา เพราะผลตอบแทนต่ำกว่า รฟท. เนื่องจาก รฟท. เป็นรัฐวิสาหกิจ
การแก้ปัญหา รฟท. โดยการตั้งกรมรางขึ้นมานั้น ผมมีความเห็นว่าเป็นการหนีปัญหามากกว่าการแก้ โดยอาจเห็นว่าไม่สามารถฟื้นฟู รฟท.ได้ จึงตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมา ซึ่งเป็นแนวทางไม่ถูกต้อง
อย่าลืมนะครับว่า ก่อนที่เราจะมี รฟท. ในปี พ.ศ. 2494 นั้น เรามีกรมรถไฟหลวง ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการ นั่นหมายความว่า ในอดีตเราเห็นว่าหน่วยงานราชการไม่เหมาะสมที่จะรับผิดชอบระบบราง จึงเปลี่ยนมาเป็นรัฐวิสาหกิจ มาบัดนี้จะเปลี่ยนบางส่วนของรัฐวิสาหกิจกลับไปเป็นราชการอีก
แล้วอย่างนี้ รถไฟไทยจะเดินหน้าได้อย่างไร ช่วยกันคิดด้วยครับ...
ดังนั้นคงต้องเป็นหน้าที่ของประชาชนอย่างเราที่ต้องช่วยกันตรวจสอบ และดูถึงการเปลี่ยนแปลงของการเดินทางด้วย “ระบบราง” หลังจากที่มีการจัดตั้ง “กรมการขนส่งทางราง” แล้วว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น หรือแย่ลง หรือไม่!?!