การประชุมของ “คณะกรรมาธิการข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ” หรือ “โอเอชซีเอชอาร์” ของยูเอ็น ตลอดจนบรรดาเจ้าหน้าที่ และผู้มีส่วนร่วมด้วยทั้งหลาย ซึ่งมีขึ้น ณ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ในกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ ถิ่น “โสมขาว” คู่ขนานไปกับการประชุมของคณะผู้ชำนัญด้านดังกล่าว ที่สำนักงานใหญ่ในนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อช่วงกลางสัปดาห์นี้ ก็ทำให้เหล่าบรรดาผู้สันทัดกรณีทั้งหลาย ต่างมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์แบบประชดประชันกันอยู่กลายๆ ว่า ไม่ผิดอะไรกับเวทีที่จับ “เกาหลีเหนือ” หรือ “โสมแดง” มาขึ้นเขียงให้กลุ่มผู้ดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนนี้ “รุมสับ” กันอย่างไม่มีชิ้นดี ถึงสถานการณ์ความเป็นไปด้านสิทธิมนุษยชนในถิ่นโสมแดง ที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้การปกครองของ “ประธานคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ” กันเลยทีเดียว เพราะว่า ปรากฏทั้งบทรายงานของโอเอชซีเอชอาร์แห่งยูเอ็นเอง และการออกมา “แฉ” กันแบบ “ลากไส้” ของเหล่าบรรดาชาวโสมแดงผู้แปรพักตร์ลี้ภัยอยู่ในประเทศต่างๆ รวมทั้งในเกาหลีใต้ ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของเกาหลีเหนือเอง โดยตามรายงานของโอเอชซีเอชอาร์ ก็ตำหนิติเตียนต่อทางการโสมแดงภายใต้การนำของประธานคิม จอง-อึน ว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนเป็นประการต่างๆ จนทำให้ในแต่ละปีก็มีพลเมืองชาวเกาหลีเหนือของตน ต้องลักลอบอพยพหลบหนีออกนอกประเทศเป็นจำนวนมาก คณะเจ้าหน้าที่ของโอเอชซีเอชอาร์ แถลงรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ในเกาหลีเหนือ ในบทรายงานของโอเอชซีเอชอาร์ ยังระบุด้วยว่า เพราะรัฐบาลเปียงยาง ทางการเกาหลีเหนือ มุ่งแต่พัฒนาด้านการทหาร ด้วยการเอาแต่จัดสรรงบประมาณส่งเสริมกองทัพ และการเสริมสร้างพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ อย่าง “ขีปนาวุธสารพัดพิสัยทำการ” และ “อาวุธนิวเคลียร์” ก็ทำให้เกาหลีเหนือ ไม่ได้พัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนพลเมือง ส่งผลให้เกิดภาวะอดอยาก ยากแค้นในหมู่ประชาชนกันไปทั่ว ซึ่งก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประชาชนคนโสมแดง ต้องลักลอบหลบหนีออกนอกประเทศ เพื่อให้รอดพ้นจากสภาพความแร้นแค้น นอกเหนือจากหนีไกลจากการถูกข่มเหงด้านสิทธิมนุษยชน ที่หนักหนาเป็นทุนเดิมแล้ว รายงานของเหล่าผู้ชำนัญพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ยังเผยด้วยว่า การทุจริตคอร์รัปชันในหมู่คณะของเจ้าหน้าที่ทางการเปียงยาง ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ซ้ำเติมสถานการณ์ความอดอยากยากแค้นของชาวเกาหลีเหนือที่เลวร้ายกันอยู่แล้ว บานปลายกลายเป็นวิกฤติหนักขึ้น จากการที่ประชาชนพลเมือง ต้องติดสินบาท คาดสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่เหล่านี้ ในการซื้อสินค้าต่างๆ แม้กระทั่งสินค้าระดับพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ส่งผลให้ประชาชนชาวเกาหลีเหนือจำนวนไม่น้อย ต้องอยู่ในสภาพอดอยากแร้นแค้น เพราะไม่สามารถติดสินบนแก่เหล่าเจ้าหน้าที่ขี้ฉ้อพวกนั้นได้ สตรีชาวเกาหลีเหนือผู้แปรพักตร์รายหนึ่ง กำลังเปิดเผยเรื่องราวในที่ประชุมโอเอชซีเอชอาร์ ในกรุงโซล เกาหลีใต้ โอเอชซีเอชอาร์ ยังกล่าวในเชิงตัวเลขด้านการสำรวจด้วยว่า จากการประเมินเบื้องต้น ได้พบว่า พลเมืองชาวโสมแดงราว 11 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 43 ของประชากรทั้งหมด ที่อยู่สภาพทุพโภชนาการ หิวโหยอดอยาก ส่วนบรรดาอาหารและสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพในเกาหลีเหนือ ไปอยู่ ณ ที่ไหนนั้น ทาง “ยูเอ็นเอชอาร์ซี” บอกว่า หลั่งไหลไปอยู่กับกองทัพ จนบุคลากรในเหล่าทัพต่างๆ และครอบครัว อิ่มหมีพีมัน แบบชีวิตแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด บทรายงานของโอเอชซีเอชอาร์ข้างต้น ก็สอดคล้องกับถ้อยแถลงของเหล่าบรรดาชาวโสมแดงผู้แปรพักตร์ที่ลี้ภัยอยู่ในประเทศต่างๆ รวมทั้งเกาหลีใต้ ประเทศใกล้ชิดติดกันกับเกาหลีเหนือ นั่นเอง ซึ่งต่างออกมาบอกกันเป็นเสียงเดียว ผ่านเวทีการประชุมของโอเอชซีเอชอาร์ ในกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ว่า เพราะรัฐบาลเปียงยางมุ่งนำงบประมาณไปพัฒนากองทัพและอาวุธมหาประลัยสารพัด จึงทำให้ไม่ได้ไปส่งเสริมด้านเศรษฐกิจ และเสริมสร้างชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น ส่งผลให้ประชาชนพลเมืองจำนวนไม่น้อย ต้องดิ้นรนกันเอง ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างอัตคัด ประธานคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ กับกองทัพภายใต้การพัฒนาของเขา แถมมิหนำซ้ำ การดิ้นรนเพื่อการดำรงชีพข้างต้น ก็ยังเป็นไปอย่างหลบๆ ซ่อนๆ เพราะมิฉะนั้นก็อาจถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจของทางการเปียงยางจับกุมคุมขังกันก็เป็นได้ โดยสตรีชาวเกาหลีเหนือผู้แปรพักตร์รายหนึ่ง เปิดเผยถึงเรื่องราวของเธอว่า เคยถูกตำรวจของทางการเปียงยางจับตัวเอาไปขังมาแล้ว โทษฐานที่เธอไปซื้อผลิตผลทางการเกษตรเพื่อนำมาทำเป็นอาหารยังชีพจากเกษตรกรรายหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่า ทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย ล้วนถูกจับกุมกันไปด้วยกัน ทั้งนี้ ในสภาพการณ์ที่เป็นไปข้างต้น บางคนที่มีทรัพย์สินเงินทองอยู่บ้าง ก็เลือกวิธีที่จะติดสินบนแก่เจ้าหน้าที่ทางการ เพื่อแลกกับอิสรภาพ สภาพความแร้นแค้นในเกาหลีเหนือ ก็ทำให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญ ออกมาเสนอแนะต่อนานาชาติ รวมทั้งมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จีนแผ่นดินใหญ่ และรัสเซีย ที่ดำเนินการจัดการวิกฤติบนคาบสมุทรเกาหลีว่า ควรต้องมีวาระเรื่องแก้ไขปัญหาปากท้องความหิวโหยแก่ประชาชนชาวเกาหลีเหนือ ควบคู่ไปกับการจัดการเรื่องอาวุธมหาประลัยของทางการโสมแดงด้วย แม้ว่าทางรัฐบาลเปียงยาง ออกมาปฏิเสธว่า รายงานข้างต้น เป็นการกุเรื่องขึ้นเพื่อใส่ร้ายเกาหลีเหนือ โดยมีปัจจัยทางการเมืองระหว่างประเทศเป็นแรงจูงใจกันก็ตาม