เริ่มด้วยน้ำมันกัญชาหยดใต้ดิน 3 สูตร ล็อตแรกก.ค.นี้ 2.5 พันขวด และออกทุก 4 เดือน ขณะต้นปี 63 เพิ่มผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย ทั้งยาเหน็บ แผ่นแปะ แผ่นอมใต้ลิ้น ครีม ประเดิมจะเน้นใช้กับผู้ป่วยกลุ่มที่มีผลวิจัยชัดเจนว่าใช้ได้ ทั้งผู้ป่วยมะเร็งแพ้คีโม โรคลมชัก ปลอกประสาทเสื่อมแข็ง ปวดประสาทที่รักษาวิธีอื่นไม่ได้ผล ทั้งเพิ่มวิจัยกลุ่มป่วยพาร์กินสัน อัลไซเมอร์ มะเร็งอื่นๆ เมื่อวันที่ 30 พ.ค.62 นพ.โสภณ เมฆธน คณะที่ปรึกษารมว.สาธารณสุข ประธานบอร์ดองค์การเภสัชกรรมเป็นประธาน ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สารสกัดกัญชาทางการแพทย์ ระหว่าง กรมการแพทย์ กับองค์การเภสัชกรรม โดยมี นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และนพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผอ.องค์การเภสัชกรรมลงนาม นพ.โสภณ กล่าวว่า ทั้งองค์การเภสัชกรรมและกรมการแพทย์ ได้ร่วมมือกันวิจัยและพัฒนาสารสกัดกัญชาและผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ให้มีคุณภาพมาตรฐาน มีสัดส่วนปริมาณสารสำคัญ THC และ CBD เหมาะสมตามความต้องการทางการแพทย์ รวมทั้งศึกษาความคงสภาพ การศึกษาวิจัยทางห้องปฏิบัติการ การวิจัยทางพรีคลินิก และการวิจัยทางคลินิก ตลอดจนบริหารทางวิชาการ บริหารจัดการข้อมูลด้านกัญชาทางการแพทย์ในมิติต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเป็นระบบ พัฒนาบุคลากรในสาขาที่เกี่ยวข้องร่วมกัน เพื่อให้การใช้กัญชาทางการแพทย์ มีประสิทธิผลประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา บรรเทา อาการได้ นพ.วิฑูรย์ ผอ.องค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า จะวิจัย พัฒนาและผลิตสารสกัดกัญชาและผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ให้มีคุณภาพมาตรฐาน มีสัดส่วนปริมาณสารสำคัญ THC และ CBD เหมาะสมตามความต้องการทางการแพทย์ พร้อมทั้งการศึกษาความคงสภาพและการรับรองคุณภาพของสารสกัดและผลิตภัณฑ์ เพื่อใช้ในการศึกษาวิจัยทางห้องปฏิบัติการ การวิจัยทางพรีคลินิก และวิจัยทางคลินิก รวมทั้งจะผลิตเป็นสารสกัดน้ำมันกัญชาชนิดหยดใต้ลิ้น 3 สูตร สูตรที่ 1 THC สูงกว่า CBD สูตรที่ 2 CBD สูงกว่า THC และสูตรที่ 3 สัดส่วน THC และ CBD 1 ต่อ 1 สำหรับหยดใต้ลิ้น (Sublingual Drop) ขนาด 5 มิลลิลิตร 2,500 ขวด ที่ผลิตออกมาได้ตามโครงการผลิตสารสกัดต้นแบบกัญชาทางการแพทย์ ระยะที่ 1 ที่องค์การเภสัชกรรม อ.ธัญบุรี ในช่วงเดือนก.ค.นี้ และจะผลิตออกมาอย่างต่อเนื่องทุก 4 เดือนๆ ละ 2,500 ขวด นอกจากนั้น ประมาณต้นปี 63 จะเริ่มผลิตสารสกัดกัญชาตามโครงการระยะที่ 2 ที่จะขยายกำลังผลิตเป็นระดับกึ่งอุตสาหกรรม บนพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร ขององค์การเภสัชกรรม อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ซึ่งจะผลิตสารสกัดกัญชาได้เพิ่มมากขึ้น ประมาณ 8 เท่า พร้อมจะเพิ่มรูปแบบผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายเหมาะสมตามความต้องการทางการแพทย์และรูปแบบการใช้งานของผู้ป่วย ให้มากขึ้น อาทิ รูปแบบยาเหน็บทวารหนัก แผ่นแปะผิวหนัง แผ่นอมใต้ลิ้น ครีม ซึ่งผลิตภัณฑ์สารสกัดกัญชาที่ผลิตได้นี้ องค์การฯจะเน้นนำไปใช้ในโครงการรักษาด้วยช่องทางพิเศษ หรือ Special Access Scheme หรือ SAS ซึ่งเป็นช่องทางรักษาผู้ป่วยและเก็บข้อมูลการวิจัยควบคู่กันไป นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า สำหรับสารสกัดกัญชาทางการแพทย์ขององค์การเภสัชกรรม จะนำไปใช้กับการวิจัยกับผู้ป่วย 3 กลุ่ม โดยขั้นต้นจะเน้นการวิจัยในรูปแบบกับผู้ป่วยในโครงการรักษาด้วยช่องทางพิเศษ หรือ Special Access Scheme หรือ SAS กับผู้ป่วยกลุ่ม 1.คือกลุ่มที่สารสกัดกัญชาได้ประโยชน์ในการรักษา ซึ่งมีข้อมูลทางวิชาการที่สนับสนุนชัดเจน ได้แก่ ภาวะคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด โรคลมชักที่รักษายากในเด็กและโรคลมชักที่ดื้อยา ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง ภาวะปวดประสาทที่ใช้วิธีการรักษาอื่นๆแล้วไม่ได้ผล ส่วนกลุ่มที่ 2.กลุ่มโรค ที่สารสกัดกัญชาน่าจะได้ประโยชน์ในการควบคุมอาการ แต่จะต้องมีข้อมูลทางวิชาการเพิ่มในประเด็นความปลอดภัยและประสิทธิผล เป็นการศึกษาที่เน้นการวิจัยทางพรีคลินิก และการวิจัยทางคลินิก อาทิ โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ โรควิตกกังวล ผู้ป่วยที่ต้องดูแลแบบประคับประคอง ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย 3.สารสกัดกัญชาอาจมีประโยชน์ในการรักษามะเร็งชนิดต่างๆ แต่จะต้องศึกษาวิจัยในหลอดทดลองและกับสัตว์ทดลอง ก่อนนำมาศึกษาวิจัยในมนุษย์ ซึ่งเป็นการศึกษาวิจัย ครบทั้ง 3 ระดับ คือศึกษาวิจัยทางห้องปฏิบัติการการวิจัยทางพรีคลินิก และการวิจัยทางคลินิก