คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย เมื่อมองจากสถานะการณ์ของโลกในขณะนี้ จะเห็นได้ว่ากำลังจะถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วที่ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน โดยเมื่อครั้งสงครามเย็น โลกของเราก็เคยถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วมาแล้ว ซึ่งครั้งนั้นเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับโซเวียตรัสเซีย ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเรื่อยไปจนกระทั่งปี 1991 แต่เหตุการณ์ความขัดแย้งที่กำลังปรากฏขึ้นในขณะนี้ เป็นเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน!!! ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ วางตัวเป็นฝ่ายรุกเปิดศึกทางการค้ากับจีนก่อน โดยขณะนี้มุ่งโจมตีไปที่ “บริษัทหัวเว่ย” ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านการสื่อสารโทรคมนาคมอันดับสองของโลก และเพื่อต้องการจะกำจัดหัวเว่ยออกไปให้พ้นเส้นทางสหรัฐฯจึงได้ออกกฎต่างๆห้ามไม่ให้หัวเว่ยเข้าไปดำเนินธุรกิจในสหรัฐอเมริกา โดยขณะเดียวกันประธานาธิบดีทรัมป์ก็พยายามผลักดันให้มิตรประเทศดำเนินตามแบบฉบับของสหรัฐฯ ซึ่งมีหลายๆประเทศที่เข้าร่วมด้วย ยกเว้น อังกฤษ และเยอรมันนี และหากมองๆไปแล้วจะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งในครั้งนี้คงจะเป็นสงครามการต่อสู้ในชั้นเชิงการค้าที่ยาวไกล เนื่องจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็ส่งสัญญานแสดงท่าทีต่อสหรัฐฯเช่นกันว่า “พร้อมจะสู้อย่างไม่ถอย” แม้จะต้องใช้เวลายาวนาน อย่างไรก็ตามการเติบโตของบริษัทหัวเว่ยก็มิใช่เรื่องธรรมดาๆ โดยเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2019 “เหริน เจิ้งเฟย” ผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ยได้ออกมาแสดงเจตน์จำนงค์ให้โลกภายนอกได้เข้าใจถึงความรู้สึกเรื่องที่บริษัทของเขาจะถูกสั่งห้ามมิให้เข้าไปทำธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเขาได้กล่าวถ้อยแถลงว่า “ปัจจัยความสำเร็จของบริษัทหัวเว่ย เติบโตมาจากการเป็นพันธมิตรของบริษัทชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกในพระคุณของหลายๆบริษัทในสหรัฐฯที่ได้สอนให้เราหัดเดินจนสามารถก้าวไปได้อย่างมั่นคงในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา โดยขณะนี้เราก็ยังเป็นพันธมิตรที่ดีต่อบริษัทอเมริกันหลายๆแห่ง” และตอนหนึ่งเหริน เจิ้งเฟย ได้พูดอย่างน่าฟังว่า เจ้าหน้าที่ทุกระดับของหัวเว่ยมีอุดมการณ์ร่วมกันและพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อรักษาอุดมการณ์ที่แน่วแน่ของเราเอาไว้ โดยเงินไม่สามารถจะเปลี่ยนอุดมการณ์ของเราได้ ผลิตภัณฑ์ของหัวเว่ยคำนึงถึงความรักชาติ และยังชี้ว่า ทุนนิยมเป็นที่มาของความโลภ และเราจะไม่ให้ทุนนิยมเข้ามาในบริษัทหัวเว่ยโดยเด็ดขาด และหากจะพูดถึงเรื่องการค้นคว้าวิจัยของบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่แห่งนี้แล้วนั้น นายเหริน เจิ้งเฟย ยังได้แจกแจงต่อไปอีกว่า บริษัทมีศูนย์ค้นคว้าวิจัย 26 จุดทั่วโลก โดยมีนักคณิตศาสตร์ 700 คน นักฟิสิกส์ 800 คน และนักเคมี 120 คน และบริษัทของเราก็ยังมีศาสตราจารย์ฒมากมายที่มีชื่อเสียงทั่วโลกคอยให้ความช่วยเหลือเราอีกด้วย อนึ่งแม้ว่าบริษัทหัวเว่ยจะกลายเป็นเป้าหมายที่ถูกสกัดกั้นจากสหรัฐอเมริกาก็ตาม แต่เมื่อดูจากแนวโน้มของโครงสร้างและความแน่วแน่ทางด้านการพัฒนารากฐานการผลิต โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลจีนแล้ว การที่บริษัทหัวเว่ยจะก้าวขึ้นมาครอบครองความเป็นบริษัทโทรคมนาคมอันดับหนึ่งของโลกในอนาคตก็ย่อมมีความเป็นไปได้สูง ฉะนั้นจึงเป็นที่มาของการที่สหรัฐฯหยิบยกเอาข้ออ้างที่ว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ” ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเก็บมาคิดเป็นการบ้านไม่ใช่น้อย แต่ตามความเป็นจริงแล้วสหรัฐฯคงจะเกรงไปว่า “บริษัทและผลิตภัณฑ์ทุกๆชนิดของหัวเว่ย จะแซงขึ้นหน้าสหรัฐอเมริกา” แม้กระทั่งธุรกิจเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยขณะนี้ก็จะเห็นได้ว่า ยี่ห้อหัวเว่ยกำลังมาแรงแซงตลาดกลายเป็นที่นิยมอันดับหนึ่ง โดยผู้บริโภคมีความเชื่อถือและศรัทธา เนื่องจากหัวเว่ยทุ่มทุนด้านการตลาดและรักษาด้านคุณภาพ!!! อย่างไรก็ตามการเปิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนในขณะนี้ น่าจะไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย เพราะแน่นอนว่าจะต้องสร้างทั้งความเสี่ยงและส่งผลกระทบอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อาทิ ประเด็นแรกน่าจะเป็นความสัมพันธ์ทางด้านการทูตที่ย่อมส่งผลกระทบ เพราะต่างฝ่ายต่างมีความระแวงต่อกันสูงมากขึ้น ประการที่สองผู้บริโภคของทั้งสองประเทศจะต้องได้รับความกระทบกระเทือนสูงเท่าๆกัน และเป็นที่แน่นอนว่าประชากรของทั้งสหรัฐฯและจีนคงจะบาดเจ็บพอๆกัน แม้กระทั่งบริษัท Google ที่เคยเป็นพันธมิตรที่ดีกับหัวเว่ยก็ย่อมมีผลกระทบสูงด้วยเช่นกัน ที่จำเป็นต้องหาลูกค้ารายใหม่ และอันดับที่สามย่อมส่งผลกระทบต่อมิตรประเทศของแต่ละฝ่าย ที่จะต้องมีความรู้สึกกระสับกระส่ายเดือดเนื้อร้อนตัวทว่ามองๆไปแล้วมิตรประเทศของสหรัฐฯอาจจะมีความหนักใจสูงกว่ามิตรประเทศของประเทศจีนด้วยซ้ำไป และอย่าลืมว่าการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ชูธงว่า “สหรัฐอเมริกาต้องเอาชนะให้ได้” แต่หากมองในมุมกลับแล้วโจทย์ที่ยังไม่มีใครตอบได้ก็คือ เขาจะครองอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีนานเท่าใด? อีกทั้งยังไม่แน่ใจว่าคนอเมริกันจะสามารถอดทนต่อผลกระทบในครั้งนี้ได้นานเท่าใด? และเมื่อลองหันไปมองคู่กรณีฝ่ายตรงข้ามก็จะเห็นได้ว่าเท่าที่ผ่านมาประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มุ่งทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติและเพื่อส่วนรวม อีกทั้งชาวจีนส่วนใหญ่มีคุณลักษณะด้านการมีชาตินิยมสูง ฉะนั้นคนจีนคงจะมีความอดทนต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้สูงกว่าคนอเมริกัน!!! ในภาพรวมสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนนั้น ดูเหมือนว่าจะบานปลายยืดเยื้อไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่บริษัทหัวเว่ยมีโอกาสที่จะเข้ายึดครองตลาดด้านการสื่อสารโทรคมนาคมระดับโลกระหว่าง 40% ถึง 60% ก็ยิ่งเพิ่มความตึงเครียดให้กับทั้งสองประเทศมากขึ้นตามลำดับ ดังนั้นเป็นที่แน่นอนแล้วว่าสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาคงจะลุกลามต่อไปเรื่อยๆ โดยสหรัฐอเมริกาคงจะต้องพยายามงัดเอามาตรการต่างๆออกมาสกัดกั้น เพื่อป้องกันไม่ให้จีนรุดหน้าก้าวเข้าไปครองความเป็นเจ้าแห่งโลกเทคโนโลยี และอย่าลืมว่าขณะนี้เทคโนโลยี 5G ของจีนกำลังรุดหน้าเหนือว่าสหรัฐอเมริกาแล้วด้วยซ้ำไป ซึ่งแน่นอนว่าจะสามารถดึงดูดทั้งด้านราคาและด้านคุณภาพอีกด้วย กล่าวโดยสรุปสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนในยุคโลกาภิวัตน์ขณะนี้ หากวิเคราะห์กันแล้วจะเห็นได้อย่างค่อนข้างเด่นชัดว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งใจที่จะวางหมากเดินเกมโดยใช้ทางลัดในระยะสั้นๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับประธานาธิบดีสี เจิ้งผิงเดินเกมระยะยาวแบบมองการณ์ไกล แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นขึ้นอยู่ที่ว่าฝ่ายไหนจะมีความอึดอดทนต่อบาดแผลที่ได้รับผลกระทบได้นานกว่ากันละครับ