“ทนายตั้ม”ยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. ขอตรวจสอบ 2 โครงการ ไบโอแมทริกซ์-รถสายตรวจไฟฟ้าอัจฉริยะ ของตร.เหตุมีมูลค่าสูง-เกรงไม่คุ้มค่ากับเงินภาษีประชาชน เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่สำนักคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลินิธิทีมงานทนายประชาชนเพื่อเยาวชนและสังคม เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ทำการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โครงการไบโอแมทริกซ์ และโครงการรถสายตรวจไฟฟ้าอัจฉริยะ โดยมีนายประจวบ สวัสดิประสงค์ รองเลขาธิการ ป.ป.ช. เป็นผู้รับเรื่อง นายษิทรา เปิดเผยว่า วันนี้มายื่นเรื่องให้มีการตรวจสอบ 2 โครงการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1.โครงการไบโอแมทริกซ์ ที่มีงบประมาณหลายพันล้านบาท เท่าที่ทราบเหมือนกับใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือว่าใช้งานยังไม่ได้จริง มีการต่อสัญญาไปหลายครั้งทั้งๆที่ถ้าเกิดเอกชนไม่สามารถทำได้ตามกำหนดจะมีค่าปรับต่อวันค่อนข้างสูง แต่กลับมีการต่อสัญญาออกไป จึงมาขอให้ป.ป.ช. ตรวจสอบว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายนี้หรือไม่ รวมถึง ให้ตรวจสอบระบบของโครงการดังกล่าวว่าใช้ได้จริงหรือไม่ ซึ่งไบโอแมทริกซ์ไม่ได้มีแค่พิสูจน์อัตลักษณ์ของใบหน้าอย่างเดียว 2.โครงการรถสายตรวจไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่มีทั้งหมด 260 คัน ปัจจุบันยังใช้อยู่ ราคาคันละประมาณ 4 ล้านบาท เป็นรถที่ใช้ไฟฟ้าใช้เวลาชาร์จนาน 6 ชม. ใช้วิ่งได้ประมาณ 200 กม. ซึ่งสถานีที่มีแท่นชาร์จก็ไม่น่าจะมีพอ อีกทั้ง ต้องมีงบประมาณในการสร้างสถานีไว้ชาร์จอีก จึงขอให้ป.ป.ช. ทำการตรวจสอบด้วยว่าโครงการนี้คุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาชนหรือไม่ หากโครงการใช้ไม่ได้จริงหรือไม่คุ้มค่ากับเงินของรัฐก็ต้องมีคนรับผิดชอบ นายษิทรา เปิดเผยต่อไปว่า สำหรับเจ้าของโครงการเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คงเป็นระดับสูง เพราะระดับผบช. ไม่สามารถจะผ่านงบประมาณเรื่องพวกนี้ได้ สำหรับวันนี้ ตนมีหลักฐานมามอบให้กับทางเลขาธิการ ป.ป.ช. ที่สำคัญ ขอให้ทางป.ป.ช.ไปตรวจสอบพื้นที่ใช้งานจริงทั้ง 2 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายมาก ในส่วนของโครงการไบโอแมทริกซ์มูลค่าหลายพันล้านบาท ส่วนโครงการรถสายตรวจไฟฟ้าอัจฉริยะ 900 ล้านบาท ซึ่งระบบรถให้มีการเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟ (wifi) แต่ต้องนึกสภาพตม.ที่อยู่ตามตะเข็บชายแดนจะใช้สัญญาณไวไฟจากไหน ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนเสนอเรื่อง จึงต้องรอให้ทางป.ป.ช.ตรวจสอบ. รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับการจัดซื้อคุรุภัณฑ์โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจพิสูจน์บุคคลโดยเทคโนโลยีไบโอแมทริกซ์ ลายพิมพ์นิ้วมือและภาพถ่ายใบหน้า มีการดำเนินการมาก่อนหน้านี้ในสมัยพล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผบช.สตม.ในขณะนั้น โดยมีงบลงทุนรวมกว่า 2116 ล้านบาท และในสมัย พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น เป็น ผบช.สตม. ต่อเนื่องมาสมัย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล แล ะพล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. ก็ดำเนินการไม่แล้วเสร็จ และทางบริษัทเอกชนมีการขยายเวลาออกไป 110 วันแต่ทางคณะกรรมการตรวจรับให้ระยะเวลาถึงวันที่ 30 มิถุนายนที่จะถึงนี้ จนปัจจุบันได้มีการตรวจรับงานงวดที่สี่กูจะทดลองนำร่องนำเครื่องไบโอแมสทริคไปติดตั้งอย่างสนามบินต่างๆ โดยก่อนหน้านี้สมัย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ดำรงตำแหน่ง ผบช.สตม. ในขณะนั้น ได้เข้าไปตรวจสอบเพื่อหาแนวทางแก้ไข หลังพบปัญหาความไม่เสถียรของเทคโนโลยีดังกล่าว อีกทั้งพบว่าการตรวจรับงานมีความล่าช้าไม่ตรงตามสัญญาที่ระบุ และได้มีการนำเรื่องเสนอกับทาง พล.ต.อ.จักทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เพื่อให้พิจารณาใช้สิทธิ์บอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลงโครงการ โดยให้เหตุผลถึงความล่าช้าของการส่งมอบงานและการเชื่อมต่อระบบที่ไม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งต่อมาทางผบ.ตร.ได้มีความเห็นตามที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองรายงาน ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ลงนามยกเลิกสัญญากับบริษัทเอกชนดังกล่าว ตามที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเสนอ แต่จนถึงขณะนี้เหตุใดถึงมีการผลักโครงการนี้ให้มีการเดินหน้าต่อ และล่าสุดมีการนำเครื่องดังกล่าวเข้าไปติดตั้งในท่าอากาศยานทั่วประเทศ