DSI แถลงการจับกุม กรณี การเปิดเว็บไซต์เผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็ก พัวพันกับผู้ต้องหาหลายประเทศ วันที่ 23 พ.ค.ที่ ดีเอสไอทพันตำรวจโท ปกรณ์ สุชีวกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เผยว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ได้รับข้อมูลจากสำนักงานองค์การตำรวจสากล เกี่ยวกับเว็บไซต์ของประเทศไทยที่มีการเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็กให้แก่สมาชิกของเว็บไซต์ โดยมีการบอกรับเป็นสมาชิก ซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็กถูกถ่ายโดยเจ้าของเว็บไซต์เอง โดยสำนักงานองค์การตำรวจสากลวิเคราะห์ข้อมูลสื่อลามกดังกล่าว พบผู้เสียหายจำนวนหลายรายเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2561 กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกองกิจการต่างงประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ได้สนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สำนักการสอบสวนและนิติการ (กรมการปกครอง) กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 6 และองค์กรเอกชนไม่แสวงผลกำไร โดยได้จับกุมผู้ต้องสงสัยสัญชาติ จำนวน 1 ราย ได้ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ในข้อหาครอบครองและผลิตสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น และข้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้เปิดเว็บไซต์ดังกล่าวจริง โดยได้หลอกล่อเด็กที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงให้มาถ่ายภาพและวิดีโอลามกที่บ้านของตน โดยอ้างว่าชักชวนให้มาถ่ายงาน ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามตัวเด็กผู้เสียหาย สามารถระบุตัวเด็กผู้เสียหายได้รวม 7 ราย นอกจากนี้ ในวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจของประเทศออสเตรเลียได้มีการจับกุมบุคคลสัญชาติไทย-ออสเตรเลีย จำนวน 1 ราย ได้ที่รัฐ South Australia ประเทศออสเตรเลีย ในข้อหากระทำชำเราเด็ก และข้อหาครอบครองและผลิตสื่อลามกอนาจารเด็ก ซึ่งทั้งสองประเทศได้มีการตรวจยึดพยานหลักฐาน และรวบรวมข้อมูลสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อนำส่งให้กับสำนักงานองค์การสากล วิเคราะห์และคัดแยกตัวผู้ต้องหาและผู้เสียหายต่อไป โดยใช้ฐานข้อมูล International Child Sexual Exploitation (ICSE) Database ต่อมา ตำรวจประเทศออสเตรเลียได้สอบปากคำผู้ต้องหา ซึ่งได้ให้การอ้างถึงคู่ขาของตนที่อยู่ที่ประเทศไทย ว่าได้เคยกระทำการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ซึ่งตรงกับข้อมูลที่ได้รับจากสำนักงานองค์การตำรวจสากล เป็นภาพขณะกำลังกระทำอนาจารเด็ก อยู่ในโทรศัพท์มือถือของเขา กองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้สนธิกำลังกับกองบังคับการปราบปราม กรมการปกครอง จับกุมบุคคลที่เป็นคู่ขา เมื่อวันที่ 19 กรกฏาคม 2561 ในพื้นที่จังหวัดลำปาง ซึ่งในพื้นที่ พบผู้เสียหายจำนวนหลายราย โดยเป็นเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กที่ผู้ต้องหาทำงานอยู่ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ต้องหายังได้กระทำอนาจารเด็กจำนวน 2 ราย ที่อาศัยอยู่ในละแวกบ้านของผู้ต้องหาสัญชาติไทย-ออสเตรเลีย ที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ กองกิจการต่างประเทศยังได้ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจสหพันธ์ออสเตรเลีย เป็นข้อมูลสื่อลามกอนาจารเด็กซึ่งเชื่อว่าผู้กระทำเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย กองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้สนธิกำลังกับกองบังคับการปราบปราม เพื่อตรวจสอบช้อมูล พบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่จังหวัดพัทลุง เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 กองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สนธิกำลังกับกองบังคับการปราบปราม กรมการปกครอง และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จับกุมผู้ต้องหารายดังกล่าวได้ที่บ้านพักในพื้นที่จังหวัดพัทลุง จากการติดตามตัวผู้เสียหายพบว่าเป็นเด็กที่อาศัยอยู่ในละแวกบ้านของผู้ต้องหา นอกจากการจับกุมผู้ต้องหาทั้งในประเทศไทยและประเทศออสเตรเลียแล้ว สำนักงานองค์การตำรวจสากลได้วิเคราะห์ข้อมูลของผู้เป็นสมาชิกของเว็บไซต์ที่มีเผยแพร่ภาพลามกอนาจารเด็ก พบว่ามีผู้ที่สมาชิกเว็บไซต์จำนวนกว่า 65,000 คน อยู่ในหลายประเทศทั่วโลก ที่ผ่านมา สำนักงานองค์การตำรวจสากลได้มีการส่งข้อมูลผู้ต้องสงสัยเหล่านี้ไปยังประเทศปลายทาง เช่น สหรัฐอเมริกา จนสามารถนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาที่มีพฤติการณ์ชอบสะสมภาพลามกอนาจารเด็กได้ในหลายพื้นที่ในสหรัฐอเมริกา สำหรับการดำเนินคดีของผู้ต้องหาในประเทศไทย ผู้ต้องหาที่ถูกจับในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ถูกศาลตัดสินให้จำคุก 50 ปี และชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหาย รวม 2,500,000 บาท สำหรับผู้ต้องหาในพื้นที่ จังหวัดลำปาง ถูกศาลตัดสินให้จำคุก 36 ปี 6 เดือน และชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหาย รวม 300,000 บาท สำหรับผู้ต้องหาในพื้นที่จังหวัดพัทลุง ยังอยู่ระหว่างดำเนินคดี นอกจากการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาแล้ว ยังได้มีการประสานกับองค์กรเอกชนไม่แสวงผลกำไรเพื่อการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายทั้งด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงช่วยในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายการจับกุมผู้ต้องหาในกรณีนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการข่าว ตลอดจนความร่วมมือในการสืบสวนและการบังคับใช้กฎหมาย จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาในหลายพื้นที่ของประเทศไทย รวมถึงในหลายทวีปทั่วโลก นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อันนำไปสู่การให้ความช่วยเหลือเด็กที่ตกเป็นเหยื่อของการแสวงหาประโยชน์ทางเพศ ซึ่งเป็นความผิดที่ต่อสิทธิเสรีภาพของมวลมนุษยชาติ และเป็นกรณีที่หน่วยงานระหว่างประเทศให้ความสำคัญอย่างยิ่ง