จากกรณีเกิดเหตุนักเรียนช่างกลยกพวกตีกัน บริเวณสามแยกพุทธมณฑล สาย 2 ฝั่งมุ่งหน้าบางแค พื้นที่ของ สน.หลักสอง เบื้องต้นมีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 ราย เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวนักเรียนคู่อริที่ก่อเหตุไว้ได้ 3 คน ตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น เมื่อวันที่ 22 พ.ค.62 พ.ต.ท.สมชาย นาคสอิ้งศาสน์ รองผกก.สอบสวน สน หลักสอง กล่าวเปิดเผยความคืบหน้าว่า พนักงานสอบสวน พร้อมด้วยอัยการ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์และนักกฎหมาย ร่วมกันสอบปากคำผู้ก่อเหตุทั้งหมด 3 คน หลังจากสอบเสร็จแล้วจะนำตัวผู้ก่อเหตุทั้งหมด ส่งตัวไปยังศาลเด็กเยาวชนและครอบครัวกลางภายในวันนี้ เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นเยาวชนหมดอำนาจของพนักงานสอบสวน ในการควบคุมตัวได้แค่เพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น จึงต้องนำตัวส่งให้ศาลเพื่อส่งต่อสถานพินิจควบคุมตัวต่อไป ส่วนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยขอไปให้การในชั้นศาล เบื้องต้นได้ตั้งข้อกล่าวหาทั้ง 3 คนว่า ร่วมกันร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาร่วมกันร่วมกันครอบครองอาวุธปืนโดยผิดกฎหมายร่วมกันและพกพาอาวุธปืนไปในเมืองในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรและไม่มีการนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เนื่องจากเป็นเยาวชนกลัวจะไม่ได้รับความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่เตรียมตัวนำผู้ก่อเหตุทั้งหมดไปส่งศาลเด็กเด็กเยาวชนและครอบครัวกลาง ทางครอบครัวผู้ก่อเหตุพอรับทราบข้อกล่าวหาของพนักงานสอบสวน เกิดทำใจไม่ได้ร้องไห้โวยวายว่า ลูกไม่ได้เจตนาที่จะฆ่าคนตายตามที่พนักงานสอบสวนตั้งข้อกล่าวหาและเชื่อว่าเป็นการป้องกันตัว เพราะฝั่งตรงข้ามวิ่งขึ้นมาบนรถเตรียมจะทำร้าย จึงต้องใช้อาวุธปืนยิงเพื่อป้องกันตัว ด้าน พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผบช.น.เปิดเผยถึงกรณีที่เกิดเหตุนักเรียนยกพวกตีกัน ว่า ทาง บช.น. มีมาตรการดูแลเรื่องของนักเรียนตีกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้เน้นย้ำเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ และ จราจรให้ช่วยกันสอดส่อง คอยดูแล โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โรงเรียนเลิก รวมถึงจุดเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง เช่น จุดที่เคยเกิดเหตุมาก่อน ควบคู่กับการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปในโรงเรียนซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง เพื่อขอรายชื่อของนักเรียนที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายไปก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับนักเรียนสถาบันอื่น เพื่อใช้ดำเนินการสืบสวน ป้องปรามเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นได้ สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ สน.หลักสอง จากการสืบสวนพบว่านักเรียนทั้ง 2 กลุ่ม ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และเป็นเรื่องบังเอิญซึ่งหน้าไม่มีความเชื่อมโยงกัน โดยสาเหตุน่าจะมาจากการที่วัยรุ่นมองหน้ากัน แล้วเกิดการเขม่นกันและไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสถาบันการศึกษาอย่างแน่นอน