วันที่ 22 พ.ค. 62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Pat Hemasuk' ระบุข้อความว่า ...
ภาระกิจทำให้ผมไม่ได้สรุปข่าวเสียข้ามสัปดาห์ ข่าวที่กำลังร้อนแรงในเวลานี้คือข่าวที่สหรัฐถล่มจีนอีกระลอกโดยมุ่งเป้าหมายไปที่หัวเหว่ย เรือธงของระบบสื่อสารจีน ผมจะเอาข่าวหลายสำนักขยำให้รวมกันให้อ่านแบบทีเดียวจบครับ คนจีนนั้นค้าขายมาตั้งแต่ยังไม่มีประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนหน้าเป็นพันปี จะบอกว่าคนจีนนั้นค้าขายมาตั้งแต่ยุโรปยังเป็นคนป่าก็ว่าได้ ผ้าไหมผืนแรกของจีนไปถึงกรุงโรมนั้น เยอรมันและอังกฤษยังเป็นชนเผ่าป่าเถื่อนในสายตาของอาณาจักรโรมและจีนเสียด้วยซ้ำไป คนจีนนั้นค้าขายแบบต้องการพันธมิตรและคู่ค้า เพราะว่าถ้าลูกค้าและผู้กระจายสินค้าต่อเป็นทอดอยู่ไม่ได้แล้วครั้งหน้าจะขายของให้ใครได้อีก จีนจึงเลี้ยงฐานะการเงินของลูกค้าและคู่ค้าให้อยู่ได้ ไม่ใช่กินครั้งเดียวแล้วเลิก หรือกดให้ลูกค้ากลายเป็นทาสซึ่งถ้าทำแบบนั้นก็ไม่สามารถมีพันธมิตรให้ค้าขายได้อีกในครั้งหน้า แต่แนวการค้านั้นในสายตาของ ปธน.ทรัมป์นั้นไม่ใช่แบบจีน เพราะทรัมป์นั้นเติบโตมาจากการต่อยอดทางธุรกิจจากตระกูลที่รวยอยู่แล้วให้ตัวเองรวยมากขึ้นโดยการตัดคู่แข่งทางการค้าออกด้วยวิธีไหนก็ได้ให้ตัวเองผูกขาดตลาดแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งในวงการอสังหาที่ทรัมป์ทำมาตลอดชีวิตนั้นเป็นแบบนี้ ไม่ต่างกับ คอร์เนเลียส แวนเดอร์บิลท์ ที่ผูกขาดตลาดของการขนส่งทางราง แอนดรูว์ คาร์เนกี ที่ผูกขาดตลาดเหล็ก จอห์น ดี ร็อกกี้เฟลเลอร์ ผูกขาดตลาดน้ำมัน จะบอกว่าการค้าของสหรัฐในอดีตนั้นเป็นการค้าแบบไม่ต้องการคู่ค้าร่วมกันทำธุรกิจ แต่เป็นแบบถล่มคู่แข่งจนเป็นหนึ่งแต่เพียงผู้เดียวก็ว่าได้ ซึ่งแนวทางของจีนนั้นไม่ใช่แบบนี้ ********************************************** การที่ปธน.ทรัมป์ใช้อำนาจออกคำสั่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาหรือ Executive Order ให้บริษัทของสหรัฐหยุดการค้าขายกับจีนโดยพุ่งตรงไปที่ต้องการหยุดการพัฒนา 5G และตลาดของหัวเหว่ยนั้น กลับเป็นหอกที่พุ่งไปปักอกบรรดาบริษัทที่ทำการค้ากับจีนเสียเอง ไม่ว่าจะเป็น Google, Intel, Qualcomm, TSMC, Microsoft, Texas Instruments และบริษัทที่ยังค้าขายกับหัวเหว่ยรวมถึงบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับหัวเหว่ยกว่า 70 บริษัทที่โดนขึ้นบัญชีดำ ซึ่งบริษัทเหล่านี้ทำการค้าในรูปของ Supply Chain ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่างๆ ของสหรัฐถึงกับเสียโอกาสที่จะทำการค้ากับจีนรวมแล้วปีละหลายแสนล้านเหรียญ จะบอกว่าราคาของสมาร์โฟน 30% นั้นคือราคาของไมโครชิฟประมาณครึ่งหนึ่งของที่จีนต้องใช้ รวมถึงระบบปฎิบัติการ แอพพลิเคชั่น รวมถึงลิขสิทธิ์ต่างๆ ที่จีนต้องจ่ายให้บริษัทของสหรัฐ แม้กระทั่งการขยายภาพด้วยการถ่างนิ้วชี้และหัวแม่มือก็ยังต้องจ่ายให้บริษัทของสหรัฐ และในบรรดาแอพพลิเคชั่นที่จีนซื้อไปนั้นยังแฝงไปด้วยการต่อยอดรายได้ของบริษัทสหรัฐ เช่นโฆษณาที่มาในขณะที่ใช้แอพพลิเคชั่นนั้นๆ เช่น ยูทูป กลูเกิ้ล อีกปีละหลายพันล้านเหรียญ ดังนั้นคำคำสั่งประธานาธิบดีที่ออกมานั้นคือการฆ่าบริษัทอีกนับหลายร้อยของสหรัฐนั่นเอง ซึ่งวันนี้เองที่บริษัทใหญ่ 170 บริษัทในอุตสาหกรรมอุปกรณ์-เสื้อผ้ากีฬาและอุตสาหกรรมค้าปลีกได้ส่งหนังสือเปิดผนึกถึง ปธน.ทรัมป์ ว่าการกระทำของทรัมป์คือการสร้างหายนะให้ธุรกิจของสหรัฐเสียเอง ซึ่ง ไนกี้ อาดิดาส คลาร์ก คร็อก รีบ็อก และสเคชเชอร์ ก็ร่วมลงนามในหนังสือฉบับนี้ด้วย ไม่ต่างกับที่เกษตรกรที่ผลิต ถั่วเหลือง เนื้อหมู และธัญพืชในตอนกลางของสหรัฐถึงกับล้มละลายกันไปมากแล้วกับนโยบายสงครามการค้าของ ปธน.ทรัมป์ ซึ่งกว่าจะเลือกตั้งใหม่อีกปีกว่าๆ นั้นธุรกิจต่างๆ รวมถึงโรงงานของประเทศสหรัฐอาจจะโดนนโยบายสงครามการค้าทำลายย่อยยับไปแล้วก็ได้ ในเรื่อง 5G นั้นเป็นที่ตกลงกันแล้วว่าทั้งอังกฤษและเยอรมันคงไม่เดินลงเหวไปพร้อมสหรัฐแน่นอน เพราะยังอนุญาตให้หัวเหว่ยเข้ามาพัฒนาระบบในประเทศของตัวเองได้ เพราะมั่นใจว่าถูกกว่าและเสร็จได้เร็วกว่าที่จะรอสหรัฐ ถ้าเป็นคนในวงการนั้นจะรู้ดีว่าหัวเหว่ยกับซิสโก้นั้นราคาแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว และที่สำคัญคือสหรัฐยังไม่ได้ทำ 5G เป็นเรื่องเป็นราวแต่จีนนั้นเริ่มใช้งานแล้ว นี่คือจุดที่ทำให้อังกฤษและเยอรมันรวมถึงประเทศในยุโรปอื่นๆ ที่อาจจะตามหลังมายอมใช้ผลิตภัณฑ์ของหัวเหว่ยกับระบบ 5G ในประเทศตัวเองเหมือนอังกฤษและเยอรมัน ไม่สนใจคำขู่ของสหรัฐ การตอบโต้ของจีนนั้นมีในทันทีที่รู้ข่าว ไม่ว่าจะเป็นการทบทวนการขาย ธาตุแรร์เอิร์ท (REEs) ทั้ง 17 ชนิดให้สหรัฐ โดยเมื่อวานนี้ ปธน.สีจิ้นผิงได้ไปเยือนโรงงานผลิตแร่ออกข่าวใหญ่โต ทำให้เกิดข่าวการโต้กลับคือถ้าสหรัฐไม่ขายไมโครชิฟให้ จีนก็ไม่ขายแร่ที่เอาเป็นวัตถุดิบผลิตไมโครชิฟให้เช่นกัน และทางหัวเหว่ยเองก็ออกข่าวว่าถ้าไม่มี ระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์ที่พัฒนาโดยกลูเกิ้ล หัวเหว่ยก็จะสร้างของตัวเองและพร้อมที่จะออกใช้งาน และไมโครชิฟบางส่วนนั้นก็ผลิตเองหรือซื้อจากเกาหลีแทนก็ยังได้ หัวเว่ยกำลังทดสอบระบบปฏิบัติการของตัวเองภายใต้ชื่อระหัสว่า “หงเมิ่ง" (Hongmeng) ที่ทำเตรียมไว้นานแล้ว ยังไม่พ้นหนึ่งวันในการตีโต้ของจีน และความฉิบหายที่อาจจเกิดกับบริษัทของสหรัฐเองนับร้อยบริษัท ทำให้กระทรวงพานิชของสหรัฐต้องออกใบอนุญาตชั่วคราวขยายเวลาไปอีก 90 วัน จนกว่าจะถึงวันที่ 19 สิงหาคมที่จะถึงนี้ ให้บริษัทต่างๆ ของสหรัฐยังคงร่วมงานกับหัวเหว่ยได้เหมือนเดิม และอีกสามเดือนข้างหน้าทางออกอาจจะดีขึ้นกว่าวันนี้ก็เป็นไปได้ จะถือว่าสหรัฐต้องการซื้อเวลาอีกครั้งก็ว่าได้ แต่ไม่ใช่ทำเพื่อจีน แต่ผมของฟันธงว่าสิ่งนี้สหรัฐทำเพื่อตัวเอง เพราะถึงวันนี้บริษัทต่างๆ ในสหรัฐนั้นคงจะยังไม่พร้อมที่จะรองรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้จากคำสังประธานาธิบดีฉบับนี้