กรมสบส.ย้ำเตือนอยากสวยต้องฉลาด อย่าหมกมุ่นแต่เรื่องขนาด ต้องเน้นความปลอดภัยเป็นสำคัญ เลือกทำในสถานพยาบาลถูกกฎหมายได้มาตรฐาน อย่าเสี่ยงกับภาวะแทรกซ้อนต่อสุขภาพร่างกายหลายประการในระยะยาว นพ.ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) ก.สาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าบริการทางด้านการแพทย์และเสริมความงามเป็นบริการที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในทุกๆปี ไม่ว่าจะเป็นเสริมจมูก เสริมคาง ทำตา 2 ชั้น หรือปรับรูปหน้าให้เรียว ฯลฯ ได้รับความสนใจในกลุ่มสุภาพสตรี โดยเฉพาะศัลยกรรมเสริมหน้าอกเพื่อปรับสรีระร่างกายให้ดูสวยงามโดดเด่นนั้น ยิ่งได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ แต่ด้วยสุภาพสตรีบางท่านมองว่าหากจะทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกทั้งที ต้องทำให้คุ้มต้องเสริมหน้าอกให้มีขนาดใหญ่ โดยมิได้คำนึงถึงโครงสร้างร่างกาย จึงอาจนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามหลักการแพทย์นั้นการศัลยกรรมเสริมหน้าอกให้มีขนาดใหญ่เกินโครงสร้างของร่างกายย่อมส่งผลเสียมากกว่า แม้ในระยะแรกจะทำให้หน้าอกดูสวยโดดเด่น แต่ในระยะยาวอาจจะเกิดปัญหาแทรกซ้อนต่อร่างกาย หลายประการ อาทิ 1.น้ำหนักของซิลิโคนที่มากเกินไปทำให้ในอนาคต หน้าอกหย่อนคล้อย ไม่กระชับได้รูป 2.เกิดพังผืด จากการเสริมหน้าอกขนาดใหญ่มากจนเกินไป ทำให้ร่างกายสร้างพังผืดมารัดบริเวณซิลิโคน จนหน้าอกเกิดการแข็ง รูปร่างของหน้าอกเสียรูป 3.ซิลิโคนไปกดทับเส้นประสาทบริเวณหัวนม ทำให้หัวนมเกิดอาการชาถาวรจากการรับเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของเต้านม อีกทั้ง เสี่ยงต่อการทำให้แผลเปิด จนติดเชื้อ จากการเสริมหน้าอกที่มีขนาดใหญ่เกินไปจนทำให้ผิวหนังบาง แผลจากการเสริมหน้าอกเปิดได้ และหากเสริมหน้าอกใต้กล้ามเนื้ออาจทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาดได้ ดังนั้น ก่อนรับบริการศัลยกรรมเสริมหน้าอก ควรปรึกษาแพทย์และตรวจสอบโครงสร้างร่างกายว่าควรเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนขนาดเท่าไรจึงเหมาะสม อย่าตัดสินว่าขนาดใหญ่ถึงจะดี ต้องทำให้พอดีเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ ร่างกายในระยะยาว ซึ่งต้องขอยืนยันว่าอวัยวะที่เกิดโดยธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน คือ ความสมดุลและเหมาะสมอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ดัดแปลง ปรุงแต่ง นอกจากไม่เกิดประโยชน์แล้วยังอาจเกิดผลข้างเคียงได้ นพ.ณัฐวุฒิกล่าวว่า ประการสำคัญ หากจำเป็นต้องรับบริการ เพื่อความปลอดภัย ขอเน้นย้ำให้รับบริการจากสถานพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย หากเป็นการศัลยกรรมเสริมหน้าอกจะต้องกระทำในห้องผ่าตัดที่ได้มาตรฐาน โดยสามารถตรวจสอบหลักฐานสถานพยาบาลว่ามีการขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่จากหลักฐาน ดังนี้ 1.ป้ายชื่อคลินิกมีการแสดงเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก 2.มีการแสดงใบอนุญาตประกอบกิจการคลินิก โดยเลขใบอนุญาตต้องตรงกับเลขที่ที่ติดที่ป้ายชื่อคลินิก 3.มีการแสดงหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมคลินิกเป็นปีปัจจุบัน 4.มีการแสดงหลักฐานของแพทย์ที่ให้บริการในคลินิก โดยมี ชื่อ-นามสกุล และภาพถ่ายติดที่หน้าห้องตรวจรักษา โดยสามารถตรวจสอบชื่อคลินิกได้ที่เว็บไซต์สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรม สบส. (www.mrd-hss.moph.go.th) หากไม่พบชื่อสถานพยาบาลหรือหลักฐานที่ต้องแสดงไม่ครบถ้วนไม่ควรรับบริการโดยเด็ดขาด และแจ้งให้กรม สบส.หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ ดำเนินการ