ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (20 พ.ค.62) ที่ศาลาการเปรียญวัดศรีสุทโธคำชะโนด ต.วังทอง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ดร.ภาคภูมิ ปุผมาศ ประธานเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ประชารัฐจังหวัดอุดรธานี ร่วมกับ "กลุ่มวิสาหกิจชุมชนคำชะโนด" และ "กลุ่มวิสาหกิจชุมชนในเขตอำเภอบ้านดุง" จัดเสวนา "กัญชาเป็นยา" โดยมีวิทยากรมาร่วมให้ความรู้ประกอบด้วย ดร.องอาจ วิเศษ ประธานเครือข่ายวิจัยและพัฒนากัญชาเพื่อประโยชน์แพทย์ไทย พท.กฤตนัน พันธุ์อุดม กรรมการสภาแพทย์แผนไทย ผู้เชี่ยวชาญด้าน“กัญชาเป็นยา สู่การรักษา ตามศาสตร์แพทย์แผนไทย” ผศ.ดร.อานนท์ แสนน่าน ผอ.ศูนย์การเรียนรู้วิจัยและพัฒนากัญชาเพื่อประโยชน์แพทย์ไทย และ กรรมการเครือข่าย มาให้ความรู้กับประชาชนและเกษตรกรที่สนใจ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมกัญชา 2562 ที่ "กระทรวงสาธารณสุข" ประกาศให้ประชาชนผู้ป่วยที่ใช้กัญชาแจ้งการครอบครองภายใน 90 วัน ซึ่งจะหมดกำหนดในการยื่นเอกสารการครอบครอง วันสุดท้าย คือ 21 พฤษภาคม 2562 นี้ นอกจากนั้นแล้วในเวทีเสวนา "กัญชาเป็นยา" ในครั้งนี้ก็ยังให้ความรู้เรื่องประโยชน์และโทษของกัญชาอีกด้วย พท.กฤตนัน พันธุ์อุดม กรรมการสภาแพทย์แผนไทย ผู้เชี่ยวชาญด้าน“กัญชาเป็นยา สู่การรักษา ตามศาสตร์แพทย์แผนไทย” ได้กล่าวว่า ในประเทศไทยมีการตื่นตัวเรื่องการใช้กัญชาในการรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ทั้งในรูปแบบงานวิจัย และการทดลองใช้ส่วนบุคคล อยู่เป็นระยะ แต่ในมุมของกฎหมายนั้น กัญชาเป็น “ยาเสพติด” และ “ผิดกฎหมาย” ตามกฎหมายไทย “กัญชา” ยังจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 การผลิต, นำเข้า, ส่งออก, ครอบครอง, จำหน่าย, เสพ ฯลฯ เป็นสิ่งผิดกฎหมายและมีโทษปรับ โทษจำคุก หรือทั้งปรับและจำ แต่ในอดีต “กัญชา” คือตัวยาที่ใช้ในตำรับยาต่างๆ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตำรายาไทยโบราณบันทึกว่า “กัญชา” หรือบางตำราเรียก “กันชา” ในตำรับยา โดยบางตำรับกัญชาเป็นตัวยาหลักของตำรับยานั้น ขณะที่บางตำรับยากัญชาเป็นส่วนประกอบร่วม เช่น ตำราพระโอสถพระนารายณ์, ตำราแพทยศาสตร์สงเคราะห์ ฯลฯ สำหรับ ตำราพระโอสถพระนารายณ์ หรือ คัมภีร์ธาตุพระนารายณ์ ซึ่งเป็นหลักฐานทางการแพทย์ไทยชิ้นสำคัญ ที่เหลือสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายเกี่ยวกับตำรายานี้ไว้ว่า “ที่เรียกว่าตำราพระโอสถพระนารายณ์ เพราะมีตำราพระโอสถซึ่งหมอหลวงได้ประกอบถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หลายขนานปรากฏชื่อหมอและวันคืนที่ได้ตั้งพระโอสถนั้นๆ จดไว้ชัดเจน อยู่ในระหว่างปีกุนจุลศักราช 1021 (พ.ศ. 2202) จนปีฉลู จุลศักราช 1023 (พ.ศ. 2204) คือระหว่างปีที่ 3 จนถึงปีที่5 ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช” กรรมการสภาแพทย์แผนไทย กล่าวอีกว่า โดยขอยกตัวอย่างยาบางขนานที่ใช้ “กัญชา” เป็นตัวยา ในตำราพระโอสถพระนารายณ์ ดังนี้ ยาขนานที่ 11 ชื่อ อัคคินีวคณะ “อัคคินีวคณะ เอา กัญชา ยิงสม สิ่งละส่วน เปลือกอบเชย ใบกระวาน กานพลู สะค้าน สิ่งละ 2 ส่วน ขิงแห้ง 3 รากเจตมูลเพลิง ดีปลี สิ่งละส่วน น้ำตาลกรวด 6 ส่วน กระทำเปนจุณน้ำผึ้งรวงเป็นกระสาย บดเสวยหนักสลึง 1 แก้อาเจียน 4 ประการ ด้วยติกกะขาคินีกำเริบ แลวิสมามันทาคินีอันทุพล จึงคลื่นเหียนอาเจียน มิให้เสวยพระกระยาหาร เสวยมีรศชูกำลังยิ่งนัก ยาขนานที่ 43 ชื่อทิพกาศ “ทิพกาศ เอา ยาดำ เทียนดำ ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ กระวาน พิมเสน สิ่งละส่วน การบูร 4 ส่วน ฝิ่น 8 ส่วน ใบกัญชา 16 ส่วน สุราเปนกระสาย บดทำแท่ง น้ำกระสายใช้ให้ชอบโรคร้อนแลเย็น กินพอควร แก้สารพัดทั้งหลายอันให้ระส่ำระสาย กินข้าวมิได้ นอนมิหลับ ตกบุพโพโลหิต ลงแดง หายแล ฯ” ยาขนานที่ 44 ชื่อยาสุขไสยาศน์ “สุขไสยาศน์ เอาการบูรส่วน 1 ใบสะเดา 2 ส่วน สหัศคุณเทศ 3 ส่วน สมุลแว้ง 4 ส่วน เทียนดำ 5 ส่วน โกฏกระดูก 6 ส่วน ลูกจันทน์ 7 ส่วน ดอกบุนนาค 8 ส่วน พริกไทย 9 ส่วน ขิงแห้ง 10 ส่วน ดีปลี 11 ส่วน ใบกัญชา 12 ส่วน ทำเป็นจุณละลายน้ำผึ้ง เมื่อจะกินเสกด้วยสัพพีติโย 3 จบ แล้วกินพอควร แก้สรรพโรคทั้งปวงหายสิ้น มีกำลังกินเข้าได้นอนเป็นศุขนักแล ฯ” ยาขนานลำดับที่ 55 ยามหาวัฒนะ “มหาวัฒนะ เอา ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ กระวาน กานพลู สิ่งละส่วน เทียนดำ เทียนขาว เทียนแดง เทียนสัตบุษ เทียนเยาวภานี โกฏสอ โกฏเขมา โกฏกัตรา โกฏพุงปลา บอระเพ็ด ใบกัญชา สหัสคุณทั้ง 2 ลูกพิลังกาสา รากไคร้เครือ แห้วหมูใหญ่ ขมิ้นอ้อย พริกหอม พริกหาง สิ่งละ 2 ส่วน ดีปลีเท่ายาทั้งนั้น จึงเอาใบกระเพราแห้ง 2 เท่าดีปลีทำเป็นจุณละลายน้ำผึ้งรวเป็นลูกกลอนกินหนักสลึง 1 กินไปทุกวันให้ได้เดือน 1 จึงจะรู้จักคุณยาเห็นประจักษ์อันวิเศษ แก้ฉันวุตติโรค 96 ประการให้กับพยาธิทั้งหลายทุกประการดีนักแล ฯ”