นายอุดม ศิริสอน และนางแดง ศิริสอน สองสามีภรรยา ชาวอำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ อดีตผู้ต้องราชทัณฑ์คดีบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในป่าสงวนแห่งชาติดงระแนง หรือเป็นที่รู้จัก“สองตายายเก็บเห็ด” ยกมือท่วมหัวสำนึกพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมเปิดใจเข็ดแล้ว ไม่กล้าเข้าป่าอีกตลอดชีวิต หลังได้รับการอภัยโทษ ด้านญาติเผย ทั้งคู่ไม่มีรายได้ ไม่มีอาชีพ วอนส่วนราชการช่วยเหลือ จากกรณีนายอุดม ศิริสอน อายุ 57 ปีและนางแดง ศิริสอน อายุ 54 ปี สองสามีภรรยา ชาวบ้านหนองกุงไทย ต.โนนสะอาด อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ ที่เคยตกเป็นข่าวดัง “สองตายายเก็บเห็ด” ถูกดำเนินคดีที่เรือนจำ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งได้รับการอภัยโทษ เมื่อวานนี้ (16 พ.ค.62) โดยมีญาติมารอรับ ท่ามกลางความยินดีของนายอุดมและนางแดง พร้อมญาติพี่น้องที่มารอรับกลับบ้าน ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2562 ผู้สื่อข่าวได้ติดตามบรรยากาศ ที่บ้านเลขที่ 73 หมู่ 4 บ้านหนองกุงไทย ต.โนนสะอาด อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นบ้านของนายอุดมและนางแดง ศิริสอน โดยมีญาติพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียง ทยอยมาสอบถามข่าวคราวความเป็นอยู่ตลอดวัน พร้อมกับนำฝ้ายมาผูกข้อมือรับขวัญตามประเพณีของคนอีสาน พร้อมเปิดใจเข็ดหลาบ ไม่กล้าเข้าป่าไปตลอดชีวิต นายอุดม ศิริสอน อายุ 57 ปี กล่าวว่า หลังจากญาติไปรับตนกับนางแดงกลับมาถึงบ้านเย็นวานนี้ ก็มีเพื่อนบ้าน ญาติพี่น้อง มาถามข่าวคราวเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งนำด้ายมาผูกข้อมือรับขวัญตามประเพณีชาวบ้าน ส่วนการทำพิธีสู่ขวัญอย่างเป็นทางการนั้น ตอนนี้ยังไม่กำหนดวัน เพราะความไม่พร้อมหลายอย่าง ทั้งฐานะยากจน ไม่มีเงินติดตัวสักบาท ประกอบกับตนและนางแดงภรรยา ยังรู้สึกเคว้งคว้าง ยังคิดอะไรไม่ออก นอกจากรู้สึกดีใจ ที่ได้รับการอภัยโทษ จึงยังคิดไม่ออกว่าจะเริ่มต้นดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร แต่ยืนยันว่าตอนนี้ไม่กล้าเข้าป่าอีกแล้ว และจะขอไม่เข้าไปในป่าตลอดชีวิต เพราะเข็ดหลาบแล้ว ขณะที่นางแดง ศิริสอน อายุ 54 ปี กล่าวว่า ช่วงที่เป็นผู้ต้องราชทัณฑ์อยู่ในเรือนจำจงกาฬสินธุ์นั้น ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ให้ฝึกอาชีพและทำงานเล็กๆน้อยๆด้วย เนื่องจากนายอุดมสุขภาพไม่ดี แขนขาอ่อนแรง ประสาทการได้ยินของหูข้างซ้ายตึง จึงทำได้แค่เพียงทำความสะอาด ส่วนตนที่เริ่มเข้าสู่วัยสูงอายุ จึงได้ฝึกอาชีพเพียงการปักหมุดใส่หมวกเจ้าหน้าที่เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอที่จะยึดเป็นอาชีพหลักหารายได้เลี้ยงตัวเองกับสามี ซึ่งหลังจากได้รับการอภัยโทษออกมา ก็คงจะยังชีพด้วยการรับจ้างทั่วไปภายในหมู่บ้าน เช่น ทำนา ทำไร่ เท่านั้น “ตอนนี้หากจะให้เข้าในป่าเพื่อหาอาหารป่า ตนกับสามีคงจะไม่ไปอีกแล้ว เพราะรู้สึกเข็ดหลาบแล้ว หรือแม้แต่หากรู้ว่ามีเพื่อนบ้านเก็บเห็ดจากป่ามาขายให้ จะไม่ซื้อกิน ทั้งนี้ตนกับสามีรู้สึกปลาบปลื้มปิติ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานอภัยโทษในครั้งนี้ ซึ่งหากมีโอกาส ก็จะสมัครเป็นจิตอาสา ทำความดีด้วยหัวใจ ทำงานเพื่อสังคม ตามแรงที่จะทำได้” นางแดงกล่าว ด้านนายเกษม ศรีภูธร อายุ 52 ปี บ้านเลขที่ 175 บ้านหนองกุงไทย หมู่ 6 ต.โนนสะอาด อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ น้องเขยนายอุดม-นางแดง ศิริสอน กล่าวว่า ในช่วง 2 สามี-ภรรยา เป็นผู้ต้องราชทัณฑ์ในเรือนจำ จ.กาฬสินธุ์ ตนเป็นหลักในการทำงานรับจ้าง เพื่อที่จะได้เงินค่ารถและอาหาร พาญาติไปเยี่ยมทั้ง 2 คนในเรือนจำ เดือนละประมาณ 7,000 บาท ทั้งนี้ การดำเนินชีวิตของทั้ง 2 คนหลังจากนี้ อาจจะเป็นเพิ่มภาระมากขึ้น เนื่องจากตนและญาติพี่น้อง ฐานะยากจน หากมีภาระในการดูแล 2 คนอาจจะทำให้ตนรับภาระหนักมากขึ้น แต่ก็จะไม่ทอดทิ้งกันเด็ดขาด “ทั้งนี้ หากเป็นไปได้ ในส่วนของการดูแลสุขภาพและอาชีพของนายอุดมและนางแดงนั้น เนื่องจากทั้งสองเริ่มสูงอายุ สุขภาพไม่ดี ประกอบกับหลังออกจากเรือนจำก็ไม่มีเงินติดตัวเลย จึงอยากเรียกร้องให้ส่วนราชการเข้ามาช่วยเหลือ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และบรรเทาความเดือดร้อนด้านปัจจัยยังชีพด้วย เนื่องจากตอนนี้ ยังไม่มีหน่วยงานไหนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเลย และหากเป็นไปได้ก็อยากให้ทั้งสองได้สิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรประชารัฐด้วย” นายเกษมกล่าว