คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ/ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ระยะเวลาแค่เพียงสองปีกว่าๆเท่านั้นแต่กลับปรากฏว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แสดงบทบาทการเป็นจอมเผด็จการออกมาได้อย่างไม่แคร์สายตาใคร ที่ไม่เฉพาะแต่ในสหรัฐอเมริกาอย่างเดียว แต่ยังคงเลยเถิดไปจนถึงการเมืองระดับโลกอีกด้วย และยังเป็นที่น่าสนใจอีกเช่นกันว่า ขณะนี้ก็ยังไม่มีใครที่สามารถจะเข้าไปยับยั้งการกระทำของประธานาธิบดีทรัมป์ได้เลยแม้แต่น้อยไม่ว่าเขาจะทำผิดต่อแม่บทกฎหมาย หรือแม้แต่การละเมิดต่อประเพณีนิยม!!! แม้กระทั่งการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมากล่าวพ่นวาจาแบบโป้ปดมดเท็จเป็นรายวันก็ตาม แต่ได้กลับกลายเป็นวัฒนธรรมประเพณีใหม่ที่คนอเมริกันต่างพากันยอมรับไปเสียแล้ว ที่มองๆแล้วช่างแสนจะแตกต่างจากการเมืองเมื่อครั้งอดีต และขณะนี้ก็ยังดูเหมือนว่า พรรครีพับลิกันก็ยังได้กลายไปเป็นพรรคของประธานาธิบดีทรัมป์แล้วโดยปริยาย!!! การใช้ทวิตเตอร์เป็นอาวุธทุกเมื่อเชื่อวัน เพื่อใช้ทั้งขู่ทั้งปราม ใช้ทำลายศัตรูทางการเมืองและยังใช้กำหนดทิศทางประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ในขณะนี้ ถือว่าได้ผลเป็นอย่างดีด้วยเช่นกัน อีกทั้งขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้ออกมาแสดงบทบาทในการเป็นจอมเผด็จการของโลก โดยเขาได้ออกมาเปิดฉากโจมตีเขย่าเวทีสงครามทางการค้ากับจีน ซึ่งได้ส่งผลกระทบไปแล้วทั่วทุกมุมโลก รวมทั้งยังได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับประเทศไทยอีกด้วย ส่วนทางด้านของประเทศจีนนั้น “อดีตประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์” ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 39 ของสหรัฐฯที่ถือว่าเป็นรัฐบุรุษอีกคนหนึ่งของโลกได้ออกมาตั้งข้อสังเกตที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ Washington Examiner เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ว่า “ประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาในช่วงระยะเวลา 242 ปีที่ผ่านมาสหรัฐฯมีสันติภาพเกิดขึ้นในประเทศเพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น อีกทั้งสหรัฐอเมริกายังสิ้นเปลืองงบประมาณด้านการทหารมาแล้วอย่างมากมหาศาล แต่ในทางกลับกันจะเห็นได้ว่าประเทศจีนไม่เคยสิ้นเปลืองงบประมาณด้านการสงครามเลยแม้แต่น้อย และด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่ขณะนี้จีนก้าวล้ำนำหน้ากว่าสหรัฐอเมริกา” อนึ่งครั้งที่ประธานาธิบดีคาร์เตอร์บริหารประเทศอยู่นั้น แม้ว่าท่านจะมิได้ถูกจารึกให้เป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ก็ตาม แต่หลังจากที่ท่านพ้นตำแหน่งแล้ว ปรากฏว่าชื่อเสียงของท่านกลับโด่งดังมากกว่าครั้งที่ดำรงอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยซ้ำไป โดยท่านได้รับการยอมรับและยกย่องอย่างกว้างขวางทั่วโลกว่า “เป็นผู้แสวงหาสันติภาพ”และท่านก็ยังได้จัดตั้งศูนย์ “Carter Center” ที่รัฐจอร์เจียขึ้นมา เพื่อใช้ค้นคว้าวิจัยในการหาหนทางสร้างสันติภาพ โดยยึดเอาความซื่อสัตย์ที่ท่านมีอยู่เป็นทุนเดิม อีกทั้งท่านยังมีจิตอาสาเป็นผู้ให้อยู่ตลอดเวลา และเมื่อใดก็ตามที่เกิดวิกฤติขึ้นประธานาธิบดีคาร์เตอร์นี่แหละจะเป็นผู้ที่อาสายื่นมือเข้าไปไกล่เกลี่ย!!! และถึงแม้ว่าขณะนี้ท่านจะมีอายุ 94 ปีแล้วก็ตาม แต่ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ก็ยังคงสร้างผลงานอันโดดเด่นออกมาสู่สายตาชาวโลกอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านพยายามเสาะแสวงหาสันติภาพให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้!!! อย่างไรก็ตามขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเปิดฉากทำสงครามการค้าต่อจีนเป็นรอบใหม่ในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ และเนื่องจากเขาตระหนักดีถึงศักยภาพที่ผ่านมาของประธานาธิบดีคาร์เตอร์ในด้านการเจรจาแก้ไขปัญหาวิกฤติกับนานาประเทศ เขาจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปปรึกษาเพื่อหาทางออกทั้งๆที่ตัวเขาเองเคยกล่าวโจมตีประธานาธิบดีคาร์เตอร์อยู่บ่อยๆครั้ง!!! และถึงแม้ว่าประธานาธิบดีคาร์เตอร์จะให้ข้อแนะนำที่สมเหตสมผล แต่กลับปรากฏว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มิใส่ใจมองข้ามไปอย่างน่าเสียดายยิ่งเลยทีเดียว!!! การเปิดฉากสงครามการค้ารอบใหม่นี้ถือเป็นประเด็นที่ร้อนระอุและดูเหมือนว่าจะพบกับทางตันยากจะหาทางออก โดยล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 25% จากเดิมที่มีเพียง 10% ซึ่งเป็นยอดเงินราวๆ 300 พันล้านเหรียญ!!! เมื่อวันจันทร์ที่เพิ่งผ่านมานี้ จีนก็ได้ประกาศตอบโต้อย่างทันท่วงที โดยขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯสู่ประเทศจีนเป็น 20 ถึง 25% และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ ซึ่งสินค้าของสหรัฐอเมริกาที่นำเข้าไปจำหน่ายในประเทศจีนนั้น มียอดเงินเกือบ 60 พันล้านเหรียญ!!! และถึงแม้ว่าสงครามการขึ้นภาษีทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯรอบใหม่นี้จะยังไม่มีผลบังคับใช้ก็ตามที แต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี้ปรากฏว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในนครนิวยอร์กร่วงดิ่งลงอย่างน่าวิตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นของบริษัทแอปเปิลตกฮวบลงถึง 6% อนึ่งประธานที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมายอมรับว่า สงครามการค้าในรอบใหม่นี้จะส่งผลให้ประชากรผู้บริโภคทั้งชาวจีนและชาวอเมริกันต้องควักกระเป๋าจ่ายภาษีเพิ่มสูงขึ้น โดยต่างฝ่ายต่างวิตกกังวลว่าสงครามการค้าครั้งนี้คงจะมีต่อเนื่องไปอย่างไม่มีกำหนด ส่วนด้านภาคเกษตรกรรมของสหรัฐฯที่เป็นฐานเสียงของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องพึ่งตลาดจีนมาโดยตลอด ขณะนี้ปรากฏว่าได้รับผลกระทบสูงจนทำให้บรรดาเกษตกรเริ่มออกมาแสดงความไม่พึงพอใจต่อมาตรการของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่อาจจะส่งผลกระทบในการเลือกตั้งของเขาในปี 2020 อีกด้วย คราวนี้หันมาวิเคราะห์ถึงศึกที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเผชิญอยู่ภายในประเทศขณะนี้ ซึ่งมองๆไปแล้วมีอยู่หลายๆแนวด้วยกัน และดูเหมือนว่ายิ่งวันเลือกตั้งขั้นต้นของรัฐแรก เพื่อสรรหาตัวแทนของพรรคเดโมแครตที่เหลือเวลาเพียง 538 วันจะใกล้เข้ามามากเท่าไหร่ นักการเมืองของค่ายพรรคเดโมแครตต่างเล็งเห็นโอกาสที่สามารถจะเอาชนะประธานาธิบดีทรัมป์ได้ พวกเขาจึงได้ออกมาเรียงแถวหน้ากระดานประกาศลงสนามเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ โดยขณะนี้มีนักการเมืองของพรรคเดโมแครตประกาศลงแข่งขัน เพื่อหวังจะเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตแล้วทั้งหมด 22 คน และคาดว่าคงจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากผลการหยั่งเสียงของสำนักหยั่งเสียงหลายๆแห่งที่ได้ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้ “โจ ไบเด้น” อดีตรองประธานาธิบดีสมัยของประธานาธิบดีบารัก โอบามาได้รับคะแนนนิยมมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยได้รับคะแนนนิยมถึง 50% จากบรรดาสมาชิกของพรรคเดโมแครตทั้งหมด ส่วนอีก 50% กระจัดกระจายไปยังนักการเมืองร่วมพรรคอีก 21 คน โดยภาพรวมแล้วสำนักหยั่งเสียงทั้งหลายต่างออกมารายงานว่า รองประธานาธิบดีโจ ไบเด้นกำลังมีคะแนนนิยมนำหน้าประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ระหว่าง 4 ถึง 8% ส่วนประเด็นผลสรุปรายงานของอัยการพิเศษโรเบิร์ต มุลเลอร์ที่สอบสวนถึงความไม่โปร่งใสของการเลือกประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 ที่มีความยาว 448 หน้า ขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามเป็นอย่างยิ่งในการใช้กลอุบายทุกวิถีทาง เพื่อขัดขวางไม่ให้รายงานฉบับสมบูรณ์ของอัยการมุลเลอร์เปิดเผยสู่สาธารณชน ซึ่งสภาคองเกรสเองก็ยังไม่สามารถดำเนินการอะไรได้เช่นกัน!!! ทั้งนี้และทั้งนั้นพอจะสรุปได้ว่าสงครามทางด้านการค้าที่กำลังส่งผลกระทบสะเทือนไปทั่วโลกในขณะนี้ ที่มองๆไปแล้วยังไม่มีแนวโน้มว่าใครจะสามารถเข้าไปยับยั้งการกระทำแปลกๆของประธานาธิบดีทรัมป์ได้เลย อีกทั้งการแสดงบทบาทในความเป็นจอมเผด็จการของประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังคงจะเขย่าโลกให้สั่นสะเทือนต่อไปอีกเรื่อยๆ ซึ่งอย่างไรก็ตามการพบปะระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ในเดือนหน้าที่ประเทศญี่ปุ่นคงจะเป็นการเผชิญหน้ากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าทั้งคู่จะตีสีหน้าเข้าหากันอย่างไรละครับ