สำหรับ อุตสาหกรรมไมซ์ไทยในไตรมาสที่ 2 ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุม และนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ได้ระบุถึงปริมาณและรายได้ด้วยยอดนักเดินทางไมซ์ทั้งในและต่างประเทศรมียอดวมกว่า 8 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.89% คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 5 หมื่นล้านบาท ทำรายได้รวมเพิ่มขึ้น 6.27% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2561เป็นการสะท้อนถึงความนิยม และความเชื่อมั่นต่อเมืองไทยในฐานะจุดหมายปลายทางไมซ์ชั้นนำแห่งภูมิภาค โดย นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงาน ได้สะท้อนแผนการดำเนินงานทางการตลาดได้อย่างน่าสนใจ เดินหน้าแผนยุทธศาสตร์ฯ ทั้งนี้ นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า ในไตรมาสต่อไปจึงยังเดินหน้าแผนยุทธศาสตร์ฯ เจาะตลาดอาเซียน +6 ซีแอลเอ็มวี และยุโรป สร้างรายได้ 2.2 แสนล้านบาท ตามเป้าหมายในปี 2562 ซึ่งในไตรมาส 2 นี้ตลาดไมซ์ต่างประเทศ มีจำนวนรวม 353,256 คน สร้างรายได้ 26,703 ล้านบาท โดยมีตลาดการประชุมสัมมนาองค์กรจำนวนนักเดินทางไมซ์เข้ามามากที่สุด ในส่วนของตลาดไมซ์ในประเทศ มีผู้เดินทางทั้งสิ้น 7,752,864 คน ทำรายได้ 28,069 ล้านบาท และส่วนใหญ่เป็นนักเดินทางกลุ่มงานแสดงสินค้านานาชาติ เพราะฉะนั้นหากพิจารณารายกลุ่มตลาด สำหรับไมซ์จากต่างประเทศ พบว่า ธุรกิจการจัดประชุมสัมมนาองค์กร มีการเติบโตสูงสุดทั้งจำนวนและรายได้ หรือคิดเป็นจำนวนคนเพิ่มขึ้น 11% มีรายได้เพิ่มขึ้น 7% และมีนักเดินทางไมซ์ที่เดินทางเข้าไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ดังนี้ 1.จีน จำนวนนักเดินทางไมซ์ 122,426 คน2.อินเดีย 40,492 คน 3.ญี่ปุ่น 30,038 คน4.ฮ่องกง 26,021 คน 5.อินโดนีเซีย 21,202 คน ขณะที่ ตลาดไมซ์ในประเทศ ธุรกิจการให้รางวัลพนักงานเดินทางท่องเที่ยว หรือ อินเซ็นทีฟ เติบโตสูงสุดทั้งจำนวนคนและรายได้ คิดเป็นการเติบโตด้านจำนวนคน 18% และรายได้ 180% โดยเมืองไมซ์ 5 อันดับแรกที่มีนักเดินทางไมซ์เข้ามามากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพ เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต และพัทยา ตามลำดับ ซึ่งจาก ภาพรวมของตลาดไมซ์ไทยในไตรมาสที่ 2 นี้ ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยยังคงดำรงสถานะจุดหมายปลายทางไมซ์ที่สำคัญและได้รับความไว้วางในการจัดงานอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความผันผวนและสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรง ทั้งนี้เป็นผลสำเร็จจากความร่วมมือร่วมใจกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนที่ช่วยกันผลักดันให้อุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศเติบโตและเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง อีกทั้งล่าสุดจากรายงานของสมาคมการประชุมนานาชาติระดับโลกปี 2561 (International Congressand Convention Association - ICCA) อุตสาหกรรมไมซ์ไทย ขึ้นอันดับ 4 ของเอเชียด้านการประชุมนานาชาติด้วยจำนวน 193 งาน รองจาก ญี่ปุ่น จีน และเกาหลี และเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียนยกระดับขึ้นจากปี 2560 ซึ่งไทยอยู่ในอันดับ 5 ของเอเชีย โดยมีจำนวนงานประชุมนานาชาติ 171 งาน จากรายงานของสมาคมการประชุมนานาชาติระดับโลกปี 2561 ยังพบว่า กรุงเทพ เป็นอันดับ 2 (135 งาน)เชียงใหม่ เป็นอันดับ 25 (25 งาน) และพัทยา เป็นอันดับ 60 (11 งาน) ในด้านการประชุมนานาชาติระดับเมือง ดำเนินตามนโยบายรัฐบาล พร้อมกันนี้ นายจิรุตถ์ ยังกล่าวถึง ผลการวิจัยของบริษัท ฟรอส์ท แอนด์ ซัลลิวัน (ไทยแลนด์) จำกัด พบว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจของธุรกิจไมซ์ในปีงบประมาณ 2561 มีค่าใช้จ่ายที่เกิดจากอุตสาหกรรมไมซ์ทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ารวม 251,400 ล้านบาท สร้างมูลค่าต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ 177,200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เพราะฉะนั้นแนวทางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ในครึ่งปีหลัง จึงยังคงดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้ 3 เป้าหมายยุทธศาสตร์หลัก คือ สร้างรายได้ กระจายรายได้สู่ภูมิภาค และการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยนวัตกรรม พร้อมเตรียมเปิดแผนยุทธศาสตร์ในการยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเน้นการทำงานเชิงบูรณาการที่มีเป้าหมายร่วมกันกับผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมไมซ์ อย่างไรก็ตามภายใต้ยุทธศาสตร์การสร้างรายได้และพัฒนาเศรษฐกิจ ทางทีเส็บมุ่งเน้นการเจาะตลาดอาเซียน +6 และ ซีแอลเอ็มวี ในขณะเดียวกันยังคงรักษาตลาดยุโรปสำหรับการเดินทางระยะไกล ผ่านกิจกรรมส่งเสริมตลาดอันหลากหลาย ในส่วนด้านการกระจายรายได้และความเจริญ จะมุ่งในเรื่องการพัฒนาเครือข่ายและส่งเสริมไมซ์ในภูมิภาค ผ่าน 5 โครงการเด่นๆ ประกอบด้วย โครงการจัดเก็บข้อมูลโครงการจัดเก็บข้อมูลด้านไมซ์ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ (พื้นที่ดำเนินการ 3 ภูมิภาค รวม 20 จังหวัด)โครงการศึกษาและจัดทำข้อมูลยุทธศาสตร์ของเมืองที่มีศักยภาพ 3 จังหวัด (กาญจนบุรี อุบลราชธานี นครศรีธรรมราช) โครงการ Thailand 7 MICE Magnificent Themes ต่อยอดเส้นทางเชื่อมโยงไมซ์ซิตี้ 9 จังหวัด (สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เชียงราย อุดรธานี สงขลา นครศรีธรรมราช ระยอง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี) อีกทั้งโครงการไมซ์เพื่อชุมชนปีที่ 2 จะขยายเพิ่มส่งเสริมสหกรณ์อีก 50 แห่งทั่วประเทศ โครงการพัฒนาหลักสูตรระดับชาติสำหรับบุคลากรไมซ์ในประเทศ โครงการไมซ์เพื่อชุมชนปีที่ 2 ขยายเพิ่มส่งเสริมสหกรณ์อีก 50 แห่งทั่วประเทศ โครงการพัฒนาหลักสูตรระดับชาติสำหรับบุคลากรไมซ์ในประเทศ ในส่วนการพัฒนาอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรม จะมุ่งผลักดันการพัฒนาการจัดงานด้วยนวัตกรรม ผ่าน 4 โครงการเด่น คือ 1. โครงการฐานข้อมูลไมซ์เพื่อสร้างนวัตกรรม และเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ 2. โครงการแอพพลิเคชั่นมือถือสำหรับอำนวยความสะดวกผู้เข้าร่วมงานและผู้จัดงาน 3. โครงการแข่งขันประกวดแข่งขันไอเดียนวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรมไมซ์ และ 4. โครงการพัฒนาและยกระดับธุรกิจในกลุ่มเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยสู่ระดับโลก โดยร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังมีการจัดงานไมซ์ที่โดดเด่นในช่วงครึ่งปีหลัง (เมษายน-กันยายน 2562) ซึ่งประมาณการว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานหลักแสนคน อาทิ งานแสดงสินค้านานาชาติ Lanna Expo 2019 จังหวัดเชียงใหม่ คาดว่าจะผู้ร่วมงาน 400,000 คน งานเมกะอีเวนท์ Thailand Toy Expo 2019 จำนวน 190,000 คน งานเมกะอีเวนท์ Bangkok Entertainment Fest 2019 จำนวน 100,000 คน และ งานแสดงสินค้างานแสดงสินค้าไลฟสไตล์ TCC ขอนแก่น Fair จำนวน 100,000 คน อย่างไรก็ตามในปี 2562 นี้ ทางทีเส็บได้กำหนดเป้าหมายว่าประเทศไทยจะมีโอกาสต้อนรับนักเดินทางกลุ่มไมซ์ รวมทั้งสิ้น 35,982,000 คน สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศโดยรวม 221,500 ล้านบาท แบ่งเป็นนักเดินทางไมซ์ต่างประเทศ 1,320,000 คน ทำรายได้ 100,500 ล้านบาท นักเดินทางไมซ์ในประเทศ 34,662,000 คน สร้างรายได้ 121,000 ล้านบาท