กรุงเทพฯ – บมจ. ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ ALL กระแสแรง เกินคาด ขายหุ้นไอพีโอหมดเกลี้ยงทั้งจำนวน 150 ล้านหุ้น ที่ราคาไอพีโอหุ้นละ 4.90 บาท “เอเซีย พลัส” ลั่นกระจายหุ้นถึงมือนักลงทุนอย่างทั่วถึง พร้อมชี้เป็นหุ้นพื้นฐานดี - อนาคตสดใส เตรียมลงสนามเข้าเทรดหุ้นในตลาด mai ภายในวันที่ 8 พฤษภาคมนี้ ด้าน “นายธนากร ธนวริทธิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยระดมทุนขยายธุรกิจ หวังขึ้นแท่นเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ ชูจุดแข็งการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร Total Real Estate Solutions ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Lead Underwriter) ของบริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้เปิดจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ ALL จำนวน 150 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 4.90 บาท รวมเป็นเงินมูลค่า 735 ล้านบาท ในระหว่างวันที่ 26, 29-30 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก มียอดจองซื้อหุ้น IPO เข้ามาเต็มทั้งจำนวน ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดี สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในธุรกิจของ ALL ทั้งนี้ เชื่อว่าหุ้น ALL จะกระจายสู่นักลงทุนทั้งรายใหญ่ รายย่อย และสถาบันอย่างทั่วถึง เนื่องจากมีการจัดจำหน่ายผ่านผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนอีกจำนวน 3 ราย ประกอบด้วย 1. บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI, 2. บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ RHBS และ 3. บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS โดยหุ้น ALL เตรียมจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 "ความสำเร็จของยอดจองซื้อหุ้น ALL ครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่ามีนักลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจและเชื่อมั่นในธุรกิจของ ALL ซึ่งเป็นผลจากศักยภาพของกลุ่มบริษัทที่เป็นผู้พัฒนาและให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร (Total Real Estate Solutions) ประกอบกับกลุ่มบริษัทอยู่ในช่วงที่กำลังเติบโตและมียอดขายเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2559 – 2561 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมจำนวน 420 ล้านบาท, 714 ล้านบาท และ 2,343 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งเงินจากการระดมทุนในครั้งนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญให้กลุ่มบริษัทสามารถเติบโตและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้ ALL อย่างแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นต่อไป" ดร.ก้องเกียรติ กล่าว ด้านนายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ALL กล่าวว่า หุ้น IPO ของบริษัทฯ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนและมีการจองซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อบริษัทฯ เพราะ ALL เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ซึ่งมีโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง มีความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด และบริษัทฯ ยังมีโอกาสเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 บริษัทฯ มียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ที่มีมูลค่ารวมประมาณ 6,190 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้เป็นรายได้จนถึงปี 2565 สำหรับวัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯจะนำเงินที่ได้ไปใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท ซึ่งบริษัทมีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ โดยปี 2562 บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่รวม จำนวน 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 18,250 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียมประเภท High Rise จำนวน 3 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียมประเภท Low Rise จำนวน 3 โครงการ เพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของ ALL นอกจากนี้ บริษัทฯ มีโครงการคอนโดมิเนียมที่ปิดการขาย (สร้างเสร็จและโอนกรรมสิทธิ์ 100%) จำนวน 5 โครงการ, โครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 3 โครงการ, โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและขาย จำนวน 1 โครงการ, โครงการที่อยู่ระหว่างการขายและรอการพัฒนา จำนวน 7 โครงการ และเป็นโครงการ ทาวน์โฮม จำนวน 1 โครงการ ซึ่งเริ่มเปิดขายในไตรมาสที่ 1 ปี 2562 ทั้งนี้ การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากตลาดทุนและตลาดเงิน เพื่อบริหารต้นทุนทางการเงินของบริษัท ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้น ซึ่ง ณ สิ้นปี 2561 บริษัทมีสินทรัพย์รวมมูลค่าประมาณ 6,010 ล้านบาท มีหนี้สินรวมมูลค่าประมาณ 5,238 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 6.78 เท่า และมีอัตราส่วนภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ย (Interest-Bearing Debt) ต่อทุน (IBD/E Ratio) ที่ 4.66 เท่า ซึ่งหลังจากการระดมทุนบริษัทฯจะนำเงินบางส่วนชำระหนี้จากสถาบันการเงิน คาดว่าจะทำให้ D/E Ratio และ IBD/E Ratio ลดลงภายหลังการเข้าจดทะเบียนฯ คุณธนากร กล่าวทิ้งท้ายว่า ด้วยศักยภาพความแข็งแกร่ง รวมถึงจุดแข็งเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจ ที่มุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพในพื้นที่ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะแนวระบบขนส่งมวลชนหลักของกรุงเทพฯ เช่น BTS และ MRT จนสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการการอยู่อาศัยได้อย่างแท้จริง ทำให้ทุกโครงการของบริษัทฯได้รับการตอบรับที่ดี ยอดขายมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2559 – 2561) โดยในปี 2559 บริษัทฯ มีรายได้รวม 420 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 11 ล้านบาท ส่วนในปี 2560 บริษัทฯมีรายได้รวม 714 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 81 ล้านบาท และในปี 2561 บริษัทฯมีรายได้รวม 2,343 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 343 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) 2.63%, 11.31% และ 14.66% ของช่วงเวลาดังกล่าว