ปชป.เสียดายโอกาสขับเคลื่อนนโยบายแรงงาน จี้"บิ๊กตู่"กรองนโยบายทุกพรรค ออกมาตรการดูแล กระทุ้งเปิดวิสัยทัศน์ สู้ผลกระทบยุคเทคโนโลยีดิสรัปชั่น อย่าขายฝันทำ 5 จี หวั่น ปรับตัวไม่ทันเสี่ยงตกงาน เมื่อวันที่ 1 พ.ค.นายเชาว์ มีขวด รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์เนื่องในวันแรงงานว่า พรรคเห็นความสำคัญ ของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน โดยมีการกำหนดนโยบายไว้อย่างครบถ้วน ทั้งการดูแลผู้มีรายได้น้อย ด้วยการประกันรายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 10,000 บาทหรือปีละ 120,000 บาทโดยไม่ผลักภาระให้ผู้ประกอบการ อีกทั้งยังมีเรื่องคูปองเสริมทักษะให้รายงานเพื่อพัฒนาฝีมือด้วย แต่น่าเสียดายที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีโอกาสได้ขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ จึงอยากให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ นำข้อเสนอหรือแนวนโยบายด้านแรงงานที่ดีไม่ว่าจะเป็นของพรรคการเมืองใดก็ตาม ไปพิจารณาเพื่อผลักดันมาตรการออกมาแก้ปัญหา และดูแลผู้ใช้แรงงานให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อีกทั้งนโยบายด้านแรงงานควรเชื่อมโยงกับนโยบายด้านการศึกษา เพื่อให้ เยาวชนของชาติจบมามีงานทํา นายเชาว์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลต้องมีวิสัยทัศน์เตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ กับความอยู่รอดทางธุรกิจ หรือที่เรียกกันว่า Technology disruption โดยเฉพาะรัฐบาลชุดนี้มีนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และยังเตรียมที่จะให้มีการประมูล 5g ซึ่งจะทำให้เทคโนโลยีเติบโตแบบก้าวกระโดด หากแรงงานปรับตัวไม่ทันก็มีโอกาสที่จะตกงานสูง แต่เรายังไม่เห็น แนวทางที่รัฐบาลเตรียมการเพื่อ รองรับถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดย World Economic forum ประเมินไว้ว่าในอีก 4 ปีข้างหน้า งานจำนวน 75 ล้านตำแหน่งจะหายไปและจะมีตำแหน่งงานใหม่เกิดขึ้น 113 ล้านตำแหน่งทั่วโลกจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ และยังมีผลวิจัยของ oxford Economic และ Cisco ของสหรัฐ ถึงสถานการณ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่าเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่จะได้รับผลกระทบมากกว่าภูมิภาคอื่น เนื่องจากแรงงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตร และมีการใช้แรงงานเข้มข้น จึงอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้ก้าวทันตามเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วย รวมถึงรัฐบาลยังต้องดูแลแรงงานนอกระบบด้วย โดยในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ความสำคัญกับเรื่องของการเพิ่มสิทธิประโยชน์ประกันสังคม การดูแลเรื่องความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมการทำงาน รวมถึงการคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน แต่ในปัจจุบันมีอาชีพที่หลากหลายมากขึ้น "รัฐบาลต้องยกเครื่องกฎหมาย เพื่อให้มีการประกันสังคมแบบถ้วนหน้าที่ครอบคลุมคนทำงาน ให้มีหลักประกันในชีวิตระหว่างการทำงานและเมื่อเกษียณอายุจากการทำงานไปแล้ว ซึ่งจะช่วยลดภาระการคลัง ที่ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในปีหน้าหรือปี 2563 และต้องไปทบทวนดูว่าเหตุใดกองทุนการออมแห่งชาติ จึงยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร นอกจากนี้ต้องเร่งรัดจัดตั้งกองทุนประกันความมั่นคงในการทำงานด้วย"รองโฆษก กล่าว //////