เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวจาก คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล นายกสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ได้บรรลุข้อตกลงว่าจ้างโค้ชชาวอินโดนีเซีย มาทำทีมแบดมินตันทีมชาติไทย โค้ชที่ว่านี้มีชื่อว่า เร็กซี ไมนากี มีดีกรี เป็นอดีตแชมป์แบดมินตันชายคู่เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์1996 ที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน โดยเซ็นสัญญากันปีต่อปีเป็นระยะเวลา4ปี ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนร่วมกับสตาฟโค้ชไทย ตามข่าวบอกว่า ไมนากี มีผลงานเคยสร้างนักตบลูกชนไก่อินโดนีเซียเป็นแชมป์โลกคู่ผสม แชมป์โลกชายคู่และเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ รวมทั้งเหรียญทองเอเชียนเกมส์ มาแล้วมากมาย การจ้างโค้ชชาวอินโดนีเซียรายนี้ มีเป้าหมายเพื่อสร้างนักตบลูกขนไก่ไทยไปคว้าเหรียรางวัลในโอลิมปิกเกมส์2020 ในอีก4ปี ข้างหน้าที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม มิเพียงแต่สมาคมแบดมินตันเท่านั้นที่วางแผนสู่ฝันอันสูงสุด สมาคมกีฬาอื่นๆก็มีการขยับตัวเตรียมแผนกันอย่างคึกคัก สมาคมมวยสากลแห่งประเทศไทย ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงด้วยการจ้างสตาฟโค้ชจากคิวบามาทำหน้าที่คุมทีมนักมวยสมัครเล่น หวังกลับมาสร้างผลงานคว้าเหรียญรางวัลโอลิมปิกเกมส์ให้ได้อีกครั้ง หลังจากครั้งที่แล้วไม่ได้เหรียญรางวัลครั้งแรกในรอบ40ปี ขณะที่สมาคมเทควันโด มีการวางโปรแกรมส่งนักกีฬาไปแข่งขันรายการต่างๆทั่วโลก เพื่อให้นักกีฬามีความแข็งแกร่งพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ส่วนกีฬายกน้ำหนัก ไม่มีอะไรต้องห่วงเพราะคุณบุษบา และ พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย บริหารจัดการอย่างเป็นระเบียบแบบแผนตลอดเวลา ทั้งยกน้ำหนัก,มวยสมัครเล่น และ เทควันโด เป็นกีฬาที่ต้องรักษามาตรฐานการคว้าเหรียญรางวัลในโอลิมปิกเกมส์เอาไว้ให้ได้ นอกจากนี้ วงการกีฬาไทยยังต้องเดินหน้าบริหารจัดการไปด้วยความเข้มข้น เพื่อสู่เป้าหมายความสำเร็จด้านความเป็นเลิศบนเวทีกีฬาโลกและเอเชีย รวมทั้งมหกรรมกีฬาต่างๆที่หมุนเวียนไปตามวงรอบที่วางไว้ อย่างที่บอกว่า ณ วันนี้วงการกีฬาไทยได้รับการเติมเต็มในปัจจัยการพัฒนามากขึ้นโดยเฉพาะเม็ดเงินงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐที่ได้จากภาษีสุรา-บุหรี่ปีละ 4 พันล้าน โดยมีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ การกีฬาแห่งประเทศไทย องค์กรกำกับดูแลกีฬาชาติสูงสุดของภาครัฐ เป็นผู้ผลักดันร่วมกับสมาคมกีฬาต่างๆเพื่อไปสู่เป้าหมาย การร่วมมือร่วมใจกันขับเคลื่อนอย่างมีระเบียบแบบแผนตั้งแต่วินาทีนี้จะนำพากีฬาชาติก้าวไกลได้ในที่สุด