คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ/ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ทุกๆศาสตร์บนโลกกลมๆใบนี้ ล้วนแล้วแต่มีศิลป์ในการใช้กำจัดทำลายล้างศัตรูคู่แข่งขัน สำหรับด้านรัฐศาสตร์นั้นก็มีหลักสูตรการเรียนการสอนด้านโฆษณาชวนเชื่อ ทางโลกธุรกิจก็มีหลักสูตรทางด้านการตลาด ส่วนศาสตร์ทางด้านกฎหมายนั้นผู้ที่จะเป็นนักกฎหมายที่ยอดเยี่ยมได้ก็จะต้องมีความเก่งกาจในการเป็นทนายว่าความให้กับทั้งฝ่ายโจทย์และจำเลย!!! ในแง่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเห็นได้ว่า “เท่าที่ผ่านมาเกือบตลอดทั้งชีวิตเขาเวียนวนอยู่ในโลกของธุรกิจ โดยเขามักจะทำทุกๆวิถีทางในการทำลายคู่ต่อสู้ เพื่อความอยู่รอด” แต่เมื่อเขาตัดสินใจหันมายึดอาชีพทางด้านการเมืองแล้วก็ตาม กลับปรากฏว่าประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังคงใช้ศิลปะเดิมๆในการกำจัดศัตรูคู่แข่ง โดยใช้อาวุธทางโลกโซเชียลมีเดียโพสต์โจมตีทำลายคู่ต่อสู้ทางทวิตเตอร์ ในช่วงรณรงค์หาเสียงเพื่อเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน โดนัลด์ ทรัมป์ มีคู่แข่งทั้งหมด 16 คน โดยเขาก็ใช้วิธีโพสต์โจมตีคู่ต่อสู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนสมาชิกในพรรครีพับลิกันหลงเชื่อคล้อยตามสามารถกำจัดคู่ต่อสู้ออกไปทีละคนๆ มีผลทำให้เขาได้กลายเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันไปในที่สุด และในครั้งนั้น “ฮิลลารี คลินตัน” ก็ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต ทำให้โดนัลด์ ทรัมป์ วางแผนเดินเกมทำลายล้างหันไปเริ่มดิสเครดิตเธอผ่านทวิตเตอร์เป็นชุดๆ จนในที่สุดคนอเมริกันค่อยๆหลงเชื่อว่า “ฮิลลารีมีนิสัยเลวร้าย”ตราบเท่าทุกวันนี้ และในขณะนี้ผู้ที่กำลังตกเป็นเหยื่อทางการเมืองคนสำคัญของประธานาธิบดีทรัมป์มีหลายๆคนด้วยกันอาทิ “ดอน แม็คกาห์น” อดีตทนายความประจำทำเนียบขาวที่แม้ว่าเขาจะเคยทำงานให้กับประธานาธิบดีทรัมป์นานกว่า 21 เดือนก็ตาม โดยรายงานการสอบสวนของอัยการพิเศษโรเบิร์ต มุลเลอร์ โยงใยไปถึงแม็คกาห์นว่า “เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2017 ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพักอยู่ที่แคมป์เดวิด(สถานที่ๆจัดให้ผู้ที่มีตำแหน่งประธานาธิบดีใช้ในการพักผ่อนหย่อนใจ) โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้โทรศัพท์ถึงดอน แม็คกาห์นสองครั้ง เพื่อสั่งการณ์ให้เขาปลดอัยการมุลเลอร์” ในรายงานมุลเลอร์ได้เขียนไว้ว่า “แม็กกาห์นปฏิเสธและได้เตรียมตัวพร้อมที่จะลาออกจากตำแหน่ง โดยแม็กกาห์นได้แจ้งเรื่องนี้ให้ ไรนซ์ พรีบัส เลขาธิการทำเนียบขาวรับทราบด้วย” นัยหนึ่งหากครั้งนั้นแม็กกาห์นดำเนินการสั่งปลดอัยการมุลเลอร์ ก็คงจะสร้างวิกฤติทางการเมืองในสหรัฐฯขึ้นมาทันที ทำนองเดียวกับครั้งที่ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน สั่งให้รัฐมนตรียุติธรรมอีเลียต ริชาร์ดสัน ปลดอัยการพิเศษอาร์คิบอล ค๊อก ขณะที่กำลังสอบสวนประธานาธิบดีนิกสันอยู่ ซึ่งขณะนั้นริชาร์ดสันก็ชิ่งชิงลาออกทันทีพร้อมกับผู้ช่วยรัฐมนตรียุติธรรม!!! และครั้งนั้นสภาคองเกรสก็ได้เริ่มดำเนินขบวนการสืบสวนสอบสวนค้นหาความจริง เพื่อปลดประธานาธิบดีนิกสันออกจากตำแหน่ง โดยอย่าลืมว่าครั้งที่ประธานาธิบดีทรัมป์สั่ง ดอน แม็คกาห์น ในครั้งนั้น สภาคองเกรสต่างเห็นพ้องต้องกันที่ให้อัยการมุลเลอร์ดำเนินการสอบสวนคดีให้แล้วเสร็จ ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องยุติความคิดไปในที่สุด และในขณะนี้ปรากฏว่า ดอน แม็คกาห์น จะเป็นพยานปากเอกให้กับคณะกรรมาธิการตุลาการสภาผู้แทนฯในวันที่ 21 พฤษภาคมที่กำลังจะถึงนี้ จึงมีผลทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มโจมตีแม็คกาห์นหนักขึ้นทุกทีๆ โดยเขาออกมาขนานนามของแม็กกาห์นอย่างค่อนข้างหยาบคายว่า “Lying Bastard” ที่ผมขอแปลอย่างเบาๆว่า “ไอ้ลูกนอกคอกจอมโกหก” และเป็นที่แน่นอนว่า ดอน แม็กกาห์น จะถูกเรียกไปให้ปากคำต่อคณะกรรมการหลายๆชุดในสภาคองเกรส ซึ่งคงจะกลายเป็นประเด็นร้อนฉ่าขึ้นมาฉาวโฉ่อีกฉากหนึ่งเช่นกัน!!! อนึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ ยังมีหัวหน้าทีมกฏหมายที่ยอดเยี่ยม นั่นก็คือ “รูดอล์ฟ เกียอิอะนีย์” อดีตนายกเทศมนตรีแห่งนครนิวยอร์กยาวนานกว่าเจ็ดปี โดยขณะที่เขาดำรงตำแหน่งอัยการเขตนครนิวยอร์ก เขาได้สร้างชื่อเสียงโด่งดังในการปราบปรามมาเฟียและนักธุรกิจระดับพี่เบิ้มในคดีทุจริตคอรัปชั่นเข้าคุกมาแล้วหลายต่อหลายคน และเขาก็ยังเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จสูง แถมเมื่อปีค.ศ. 2001 เขายังได้รับเลือกให้เป็นบุคคลสำคัญแห่งปีอีกด้วย!!! นอกจากเกียอิอะนีย์จะเป็นอัยการชั้นเซียนขั้นเทพแล้ว เขาก็ยังมีความเชี่ยวชาญในการเป็นทนายความที่คอยปกป้องลูกความได้อย่างยอดเยี่ยมหาตัวจับยาก ที่เขาทำหน้าที่ว่าความให้ทั้งฝ่ายโจทย์และจำเลย และยังมีความเก่งกาจด้านประชาสัมพันธ์ตัวเองขั้นเทพอีกด้วย นอกจากนั้นแล้วเกียอิอะนีย์ยังอยู่ในข่ายที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะแต่งตั้งเข้าไปเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอีกด้วย และอีกทั้งเกียอิอะนีย์ห้ามไม่ให้ประธานาธิบดีทรัมป์เข้าไปสัมภาษณ์ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นการส่วนตัว เพราะเกรงว่าประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะเผลอพูดจนมัดตัวเอง!!! โดยขณะนี้เกียอิอะนีย์ได้ออกรายการโทรทัศน์เป็นประจำเพื่อวางตัวเป็นกระบอกเสียงดิสเครดิตทุกๆคนที่เป็นศัตรูต่อประธานาธิบดีทรัมป์ ดั่งจะเห็นได้จากขณะนี้เกียอิอะนีย์เริ่มดิสเครดิตโต้กลับต่อวุฒิสมาชิกมิตต์ รอมนีย์ ที่ออกมากล่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ขาดความซื่อสัตย์ และรอมนีย์ยังได้ประณามประธานาธิบดีทรัมป์ที่ร่วมมือกับรัสเซียว่า เป็นศัตรูของสหรัฐอเมริกา โดยเกียอิอะนีย์ได้อ้างว่า การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ข้อมูลจากต่างชาติก็ไม่ผิดแต่อย่างใด!!! อีกทั้งขณะนี้ “รัฐมนตรียุติธรรม วิลเลียม บารร์”ที่ควรวางตัวเป็นผู้พิทักษ์กฎหมายให้แก่ประเทศชาติในตำแหน่ง “U.S. Attorney General” แต่เขากลับวางตนเป็นกระบอกเสียงให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์อย่างเห็นได้เด่นชัด อนึ่งนักการเมืองพรรคเดโมแครตที่ประกาศลงแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีหลายๆคนอาทิ วุฒิสมาชิกอลิซาเบธ วาร์เรน วุฒิสมาชิกคามาลา แฮริส สส.จูเลียน คาสโตร และนายกเทศมนตรีพีท บัตติเจ็ตจ์ ได้ออกมาประกาศชูธงให้ดำเนินการสั่งปลดประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากสถานการณ์การเมืองของสหรัฐอเมริกาในขณะนี้กำลังเข้มข้นสุดๆที่สภาคองเกรสกำลังวางตัวเป็นฝ่ายรุก โดยเจอร์รี นาดเลอร์ ประธานคณะกรรมาธิการตุลาการจะเรียกดอน แม็กกาห์น และอัยการพิเศษโรเบิร์ต มุลเลอร์ไปให้ปากคำในสภาคองเกรสอีกด้วย และยังได้เรียกร้องให้รัฐมนตรียุติธรรมบารร์ส่งมอบรายงานของอัยการมุลเลอร์ที่ไม่มีการแก้ไขให้คณะกรรมาธิการภายในวันที่ 1 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรลงมติเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนน 420 ต่อ 0 ให้รายงานการสอบสวนของอัยการมุลเลอร์เปิดเผยสู่สาธารณะชน แต่กลับถูกวุฒิสมาชิกลินเซ่ย์ แกรม ประธานคณะกรรมาธิการตุลาการวุฒิสภา พันธมิตรอันสนิทแนบของประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาบล็อคไม่ยอมให้ผ่าน กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นช่วงที่สถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับสภาคองเกรสกำลังอยู่ในโหมดเข้มข้นมากขึ้นๆ คงจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาคงจะใช้ศิลปะการป้องกันตัวทำลายศัตรูสไตล์ทรัมป์ ทรัมป์ ดิสเครดิตชื่อเสียงทุกๆคน (Character assassination) ที่เข้าไปขัดผลประโยชน์ของเขาอย่างแน่นอนละครับ