ผลจากการเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ประสบความสำเร็จเกินคาดหมาย สามารถกวาดเก้าอี้ ส.ส.เข้าสภาฯได้มากเป็นอันดับสาม เหนือพรรคเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ ทำให้ชื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคความอนาคตใหม่ ถูกพูดถึงมากที่สุดบนสื่อทุกแขนง ขณะที่ผู้คนจำนวนไม่น้อย เริ่มเสาะหาข้อมูลเพื่อทำความรู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของธนาธร ที่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรในโลกยุคดิจิตอล เพราะทุกคำพูดทุกท่าทีที่สะท้อนถึงแนวคิดและจุดยืนของธนาทรได้ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดยิบ เป็นสาเหตุให้หลายฝ่ายเกิดความหวั่นไหว และไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย หากธนาธรเข้ามามีส่วนร่วมกุมอำนาจบริหารประเทศ หลังได้รับทราบทัศนคติของธนาธรผ่านบทสัมภาษณ์ต่างๆ อาทิ การให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร สารคดี ฉบับที่ 263 มกราคม ปี 2550 โดยเป็นการตอบคำถามข้อหนึ่ง ดังนี้ สารคดี : ถ้านิยามว่า เศรษฐกิจพอเพียง คือการพึ่งตนเองได้ และสร้างภูมิคุ้มกันในธุรกิจของตัวเอง ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้เพิ่มการลงทุน ธนาธร : ผมคิดว่ามีนักวิชาการคนหนึ่ง คือคุณศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ พูดไว้ชัด คือทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง หรือแม้แต่กระแสชุมชนนิยม มันมีรากฐานอย่างหนึ่งคือ ข้างในมันดี และข้างนอกมันเลว อะไรก็ตามที่มันเลว มันมาจากข้างนอกหมด เราอยู่ข้างในเราก็ดีกันอยู่แล้ว โดยที่เราลืมไปอย่างหนึ่งว่า มันเป็นเพียงมายาคติที่ถูกสร้างขึ้นมา เวลาเราพูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง พูดถึงชุมชนนิยม หรือแม้แต่ในประเทศไทย เราบอกว่าเราไม่เปิดเสรี เพราะเรารู้สึกว่าอะไรก็ตามที่มาจากข้างนอกมันสร้างกิเลส มันสร้างความโลภ มันเอาอะไรต่างๆ ที่ไม่ดีในเชิงจริยธรรมในเชิงศีลธรรมเข้ามา แล้วเราก็พยายามปลูกฝังความคิดแบบชาตินิยมขึ้นมา แท้จริงแล้วการชูเรื่องชาตินิยมก็เพียงเพราะคุณต้องการปกป้องทุนชาติ เพราะคุณรู้สึกว่าถ้าปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาคุณเสียประโยชน์ เพราะคุณแข่งขันสู้บริษัทยักษ์ใหญ่พวกนี้ไม่ได้ ถามว่าเศรษฐกิจพอเพียง คุณปิดประเทศหรือเปล่า ถ้าคุณไม่ปิดประเทศ บริษัทยักษ์ใหญ่พวกนี้เข้ามา ผมถามว่าคุณแข่งขันสู้เขาได้หรือเปล่า ดูธุรกิจใหญ่ๆ ของไทย วันนี้เหลือธุรกิจอะไรบ้างที่ยังเป็นของคนไทย ที่ยังเป็นของทุนชาติอยู่ ผมรู้สึกว่าเหลือไม่เยอะ ถ้าถามผมเป็นนายทุนผมชอบไหม ชาตินิยม ชูเลยใช้ของไทย คุณผลิตรถยนต์คุณต้องซื้อของจากบริษัทคนไทย ผมแฮปปี้ แต่ถามว่าท้ายที่สุดใครล่ะได้กำไร ทุนชาติและทุนต่างชาติก็ได้กำไรเหมือนกัน การสะสมทุนก็กระจุกตัวอยู่แค่กลุ่มคนระดับสูงบางกลุ่มเหมือนกัน ถามว่าแล้วทุนชาติกับทุนต่างชาติต่างกันอย่างไร ไม่ต่างกัน เพียงแต่เรามีมายาคติ ท้ายที่สุดเศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นวาทกรรมแบบหนึ่งเท่านั้นเอง หรือการให้สัมภาษณ์นิตยสาร GM ฉบับประจำเดือนพฤษภาคม 2560 ในตอนหนึ่ง GM : เราพูดถึงเรื่องหนังสือเยาวชนที่สังคมไทยมุ่งสอนเรื่องคุณธรรมมากกว่าจินตนาการ แล้วส่วนตัวคุณเชื่อในศาสนาไหม ธนาธร : ผมคิดว่าทุกคนมีพระเจ้าของตัวเอง แล้วคุณก็คุยกับพระเจ้าของคุณเองได้โดยไม่ต้องผ่านวัด โบสถ์ หรือมัสยิด คุณคุยกับพระเจ้าของตัวคุณได้ แม้กระทั่งระหว่างการวิ่ง คุณก็คุยกับพระเจ้าได้ คุณไม่ต้องไปตักบาตร ไปมิสซา หรือละหมาดเพื่อจะคุยกับพระเจ้า สิ่งที่ผมเชื่อก็คือศรัทธาทางศาสนาควรจะเป็นศรัทธาที่เปิดกว้าง และไม่ควรมีวัดหรือศาสนา หรือองค์กรใดมาบังคับหรือเชิดชูความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งให้มากกว่าความเชื่ออื่นๆ เช่น รัฐไทยไม่ควรจะอุปถัมภ์ศาสนาพุทธ เพราะมันทำให้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แก้กันไม่จบ ผู้คนที่อยู่ใน 3 จังหวัด แง่หนึ่งก็เหมือนเป็นพลเมืองชั้นสอง เพราะไม่มีที่ยืนที่เท่าเทียมกันกับคนที่นับถือศาสนาพุทธ ผมคิดว่ารัฐควรจะถอยตัวเองออกมาจากเรื่องศาสนา ไม่ควรจะอุปถัมภ์ศาสนาอะไรเลย ที่นี่คุณจะนับถือยูดาย คุณจะนับถือเต๋า นับถือเซนก็ได้ เหมือนอย่างธรรมกาย ต่อให้ไม่เห็นด้วยกับธรรมกาย รัฐก็ไม่ควรไปยุ่ง ปัญหาคือถ้ารัฐไปยุ่ง มันก็จะซับซ้อนวุ่นวายไปหมด GM : จากประสบการณ์ที่ได้เดินทางไปในสถานที่ต่างๆ มากมาย คุณมองความน่าอยู่ของเมืองไทยอย่างไร ธนาธร : ผมเพิ่งคิดเรื่องนี้เมื่อวานนี้เอง เจออะไรไม่รู้ทำให้ผมคิดเรื่องนี้ เมืองไทยนี่มันเป็น Land of Smile ใช่ไหม ผมมานั่งคิดว่าทำไมเราถึงยิ้ม แล้วคำตอบที่ได้ อาจจะไม่ถูกใจคนไทยหลายๆ คน แต่เหตุผลที่ผมคิดว่า ทำไมคนไทยถึงยิ้ม ก็เพราะคนไทยไม่มีจุดยืนเรื่องอะไรเลย เมื่อโดนถามเรื่องอะไรก็แล้วแต่ แล้วเราตอบไม่ได้ ทำได้อย่างเดียวคือยิ้ม ไม่มีจุดยืน แม้แต่ในเรื่องที่สากลเขายอมรับกัน อย่างเช่น เรื่องสิทธิมนุษยชน คือเราอาจจะมีบางอย่างที่เป็นจุดร่วมกันกับคนในสังคม แต่มันอธิบายกับคนในระดับสากลไม่ได้ หรือการให้สัมภาษณ์แทบลอยด์ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา ถึงแนวคิดนโยบายของพรรคอนาคตใหม่ ต่อการแก้ปัญหาระบบการศึกษาของประเทศไทย ว่า การศึกษาไทยไม่เคยพูดเรื่องประชาธิปไตย สิทธิพลเมือง ไม่เคยพูดเรื่องความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ และไม่เคยพูดเรื่องคุณค่าหรือศักยภาพความเป็นมนุษย์ แม้แต่คำเดียวในการศึกษาไทยทั้งหมด "ลองย้อนกลับไปนึกในสิ่งที่เรียน อย่างเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.2475 เหตุการณ์ที่ใหญ่ขนาดนั้น สมัยผมหนึ่งย่อหน้ากับเหตุการณ์ 2475 พูดถึงนายปรีดี พนมยงค์ครั้งเดียว ในแบบการเรียนการศึกษาไม่เคยพูดเลยว่าประชาชนมีศักยภาพอย่างไรในตัวเอง สอนแต่ให้ทุกคนยอมจำนน สอนแต่ให้ทุกคนสยบยอม แม้แต่ความไม่เป็นธรรม ความไม่ยุติธรรมก็ต้องสยบยอม นี่คือการศึกษาไทย" ผู้สัมภาษณ์ถามว่าแล้วพรรคอนาคตใหม่มีนโยบายเรื่องการศึกษาอย่างไร? ธนาธร ตอบว่า ทำลาย disrupt มัน เขย่ามัน ดึงรัฐออกไป ให้ประชาชน กรรมการโรงเรียนตัดสินเอง "ยกตัวอย่างง่ายๆ พิธีไหว้ครู เป็นพิธีกรรมที่ล้าหลังมาก เอาพิธีกรรมที่เจ้ายศเจ้าอย่างออกไปทั้งหมด จากระบบการศึกษา ยกตัวอย่าง โรงเรียนไหนอยากจะมีการไหว้ครู ก็เป็นเรื่องของโรงเรียน ไม่ต้องไปบังคับเขา โรงเรียนไหนไม่อยากมีก็ไม่ต้องมี โรงเรียนไหนอยากให้นักเรียนไว้ผมยาวได้หรือจะให้ไว้ผมทรงนักเรียน หรือโรงเรียนไหนอยากให้นักเรียน นักศึกษาใส่ชุดนักศึกษาหรืออยากจะให้ใส่ชุดอะไรก็ได้มาเรียน ก็ให้เป็นเรื่องของโรงเรียน ต้องเอารัฐออกจากรูปแบบ เนื้อหาของการเรียนอยากสอนอะไรก็สอน ไม่ต้องไปออกแบบวิธีการประเมินจากส่วนกลาง ให้ท้องถิ่นออกแบบตัวเอง" หรือการให้สัมภาษณ์กับทางเว็บไซต์ The Momentum ซึ่งในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์กันอย่างกว้างขวางถึงความเห็นบางช่วงบางตอนของธนาทรจากบทสัมภาษณ์ดังกล่าวที่ว่า “ผมยังนั่งคุยกับพวกเขาอยู่เลยว่า ถ้าพรรคของเราเกิดได้เมื่อไร ในพรรคของเราอยากให้เลิกใช้ว่า พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา อยากให้เลิกใช้คำพวกนี้ให้หมด สร้างวัฒนธรรมใหม่ๆ อย่างที่ผมบอก อะไรก็ตามที่อยากให้เกิด ก็ต้องทำในพรรคก่อน เราต้องยกเลิกวัฒนธรรมอำนาจนิยมซึ่งกีดกันโอกาส กีดกันความคิดสร้างสรรค์ของคน เรียกคนอื่นเป็นพี่ ป้า น้า อาเมื่อไร มันเป็นการเข้าไปอยู่ในโครงสร้างอำนาจนั้น เราจึงคิดว่า ใช้คำว่าคุณ ผม ดิฉัน สามคำเพียงพอแล้ว ให้เกียรติกันมากพอแล้ว ไม่มีพี่ ไม่มีท่าน” หรือบทสัมภาษณ์ในหนังสือ “Portrait ธนาธร” ที่มีหลายประเด็นกระทบต่อความรู้สึกของคนไทยที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจบทสัมภาษณ์ต่างๆ ดังกล่าวในข้างต้น แม้เป็นคำพูดเก่าๆ ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในหลายวาระหลายโอกาส ทว่า อีกด้านหนึ่งก็เป็นอดีตที่ถูกจารึกไว้ และกำลังแปรมาเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจทำให้พรรคอนาคตใหม่ไร้อนาคต