'รองเลขาฯกกต.' โพสต์เฟช ยก 10เรื่อง ที่สุดแห่งการเลือกตั้ง แจงมีความพยายามกล่าวหา แต่ กกต.แจงได้ทุกเรื่อง ชี้ถ้าจริง คงอยู่ไม่ได้แล้ว เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า “24 มี.ค.62 ที่สุดแห่งการเลือกตั้ง : กกต.จัดการเลือกตั้งไม่โปร่งใสจริงหรือ” โดยระบุว่า1.ระบบที่ป้องกันการทุจริตการเลือกตั้งที่ดีที่สุด ตั้งแต่กระบวนการพิมพ์บัตร ขนหีบบัตร การจ่ายบัตร การเก็บรักษาบัตร การลงคะแนน การนับคะแนน มีขั้นตอนที่รัดกุม ปิดโอกาสที่จะทำให้มีการทุจริตในการเลือกตั้ง ที่เป็นเช่นนี้เพราะบริบทการเมืองไทยมีการแข่งขันกันสูงมาก ผู้แข่งขันมุ่งผลแพ้-ชนะเป็นสำคัญ จึงต้องมีกลไกป้องกันกระบวนการเลือกตั้งและผู้เป็นกรรมการไว้ อาจกล่าวได้ว่าระบบการเลือกตั้งของประเทศไทยมีความปลอดภัยมากที่สุดในโลกเท่าที่เปรียบเทียบกับประเทศอื่น 2.มีผู้มีส่วนร่วมในการเลือกตั้งมากที่สุด มีกรรมการประจำเขตเลือกตั้งทุก 350 เขต มีกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง(กปน.)ทุกหน่วยเลือกตั้ง 92,300 กว่าหน่วย มีลูกเสืออาสา กกต. ผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งของผู้สมัครหรือพรรคการพรรคการเมืองทุกหน่วยเลือกตั้ง มีผู้สื่อข่าว องค์กรตรวจสอบการเลือกตั้งทั้งจากในและนอกประเทศอยู่ทั่วไปรวมกว่า 1 ล้านคน นอกจากนี้ยังมี ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่รอคิวในการออกเสียงลงคะแนนและเฝ้าสังเกตการณ์การนับคะแนน เป็นจำนวนมาก 3.มีขั้นตอนในการเลือกตั้งที่สลับซ้อนที่สุด ต้องพิมพ์บัตรเลือกตั้ง 350 แบบ พรรคเดียวกันในจังหวัดเดียวกันเบอร์ต่างกัน ต้องจ่ายบัตรเลือกตั้งให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการออกเสียงลงคะแนนล่วงหน้า ให้ถูกเขตโดยในแต่หน่วยอาจต้องจ่ายบัตรให้ผู้มีสิทธิทั้ง 350 เขต 350 แบบถ้ามีการลงทะเบียนครบทุกเขตในหน่วยนั้น 4.ให้เวลาลงคะแนนมากที่สุด โดยให้เวลาลงคะแนนเพิ่มอีก 2 ชั่วโมงจากที่เคยปิดหีบในการเลือกตั้งครั้งก่อน เวลา 15.00 น. เป็นปิดหีบ 17.00 น. โดย กปน.ทั้ง 5 คน ต้องทำงานตั้งแต่รับบัตรและอุปกรณ์ในการลงคะแนน เปิดหน่วยลงคะแนน ปิดหีบบัตร ตรวจสอบจำนวนบัตรให้ถูกต้องตรงกัน เริ่มนับคะแนน ปิดผลการนับ คะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง รายงานผลอย่างไม่เป็นทางการ ส่งอุปกรณ์ รวมเวลาทำงาน จากรับบัตร จนถึงส่งอุปกรณ์ จากเวลา 05.00 ถึงเวลา 23.00 น. ต้องทำงานติดต่อกันประมาณ 15-18 ชั่วโมง 5.มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากที่สุดคือมีจำนวนกว่า 51 ล้านคน มากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา 5.มีจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุด ทั้งในการเลือกตั้งล่วงหน้าและในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 62 มีผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งกว่า ร้อยละ 79 มากกว่าการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมานับแต่มีรัฐธรรมนูญปี 2540 6.มีผู้สมัครและพรรคการเมืองส่งผู้สมัครมากที่สุด มีพรรคส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งจำนวน 81 พรรคการเมือง ผู้สมัครกว่า12,000 คน จากเดิมที่เคย ส่งผู้สมัคร 2000-3000 คน มีพรรคการเมืองส่งแค่ 20-30 พรรคการเมือง และด้วยความสลับซับซ้อนของกฎหมายทำให้เกิดงานธุรการเพิ่มขึ้น เช่น การพิมพ์บัตร 350 เขต 350 แบบ หนังสือถึงเจ้าบ้าน เป็นต้น 7.มีขั้นตอนการประกาศผลที่มากที่สุด หลังเลือกตั้งเสร็จ กกต.ยังไม่อาจประกาศผลได้ทันทีแม้จะประกาศผลคะแนนไปแล้วก็ตาม การประกาศผลต้องเป็นไปตามขั้นตอนตามที่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กำหนดไว้ 8.มีการคำนวณการจำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อที่สลับซับซ้อนที่สุด ทั้งนี้รัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ได้กำหนด วิธีคำนวณจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคการเมืองจะได้รับต่างจากกฎหมายฉบับก่อนๆเป็นอย่างมาก 9.มีจำนวนเรื่องร้องเรียนการทุจริตการเลือกตั้งน้อยที่สุด ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งที่ผ่านมา ครั้งที่ผ่านมาหลังทราบผลคะแนน จะมีเรื่องร้องคัดค้านเป็นหลักพันหรือหลายพันเรื่อง แต่ครั้งนี้มีเรื่องร้องคัดค้านแค่หลักร้อยเท่านั้น ทั้งที่มีการแข่งขันสูงและมีผู้สมัครและพรรคการเมืองลงสมัครเป็นจำนวนมาก แล10.มีการ กล่าวหา กกต.โดยไม่มีข้อเท็จจริงมากที่สุด โดยมีการตั้งข้อสงสัย พยายามกล่าวหา กกต.ว่าจัดการเลือกตั้งไม่โปรงใสโดยมีความพยายามทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการเลือกตั้ง แต่ข้อสงสัยและข้อกล่าวหาดังกล่าว กกต.ก็สามารถชี้แจงที่มาที่ไปได้ทุกเรื่อง ส่วนมากการกล่าวหาก็ไม่ปรากฏนามผู้กล่าวหาว่าเป็นผู้ใด เป็นการกล่าวหาในโซเชียล ทั้งนี้ถ้ามีหลักฐานอยู่บ้างตามที่กล่าวหานั้น กกต.คงอยู่ไม่ได้แล้ว กรณีมีหลักฐานว่าการเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ก็ชอบที่จะยื่นเรื่องให้ กกต.ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ จะได้ร่วมมือกันในการทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม แต่ไม่ใช่นำข้อสงสัยดังกล่าวมากล่าวหา กกต.เอง ทั้งที่ปราศจากมูลความจริง