หลายฝ่ายแสดงความวิตกและห่วงใยกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกค้นและจับกุมกัญชาในมูลนิธิข้าวขวัญ ที่มีนายเดชา ศิริภัทร เป็นประธาน เนื่องจากเชื่อว่าการมีกัญชาไว้ในครอบครองนั้นเพื่อเป็นการค้นคว้าและรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ ได้มีบุคคลและองค์กรจำนวนมากได้เขียนแสดงความคิดเห็น โดยในเฟสบุคของมูลนิธิชีววิถี หรือ biothai ซึ่งมียอดแชร์ 1,800 ครั้งระบุว่า แม้เพียงพบกันครั้งแรก หลายคนคงสัมผัสได้ว่าเบื้องหลังงานของ “เดชา ศิริภัทร” ในฐานะครูผู้สอนเรื่องข้าวและเกษตรกรรมที่ยั่งยืน คือความเมตตาเพื่อให้ชาวนาและสังคมไทยหลุดพ้นจากความทุกข์ยากจากปัญหาความยากจน ก้าวข้ามระบบเกษตรกรรมและอาหารที่พึ่งพาสารพิษร้ายแรงทั้งหลาย โดยไม่หวังผลประโยชน์ใดๆเพื่อตนเอง ในเฟสบุคของ biothai ระบุด้วยว่า นายเดชาสนใจเกี่ยวกับเรื่องกัญชารักษาโรคมานานมากกว่า 20 ปี และในช่วง 10 ปีมานี้เขาค้นคว้าเสาะแสวงหาความรู้ ทดลองด้วยตัวเอง และลงมือทำแจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาโรคแก่ผู้คนไม่เลือกหน้าให้หลุดพ้นจากโรคร้าย โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน โดยนายเดชา ทราบดีว่าการครอบครองและแจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อการรักษาโรคยังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศที่มีกฎหมายล้าหลังเช่นประเทศไทย แต่เขายอมแลกกับการที่ตนเองต้องเสี่ยงสูญเสียอิสรภาพ เพื่อต่อสู้ให้มีการยกเลิก และปรับปรุงกฎระเบียบและกฎหมายที่ล้าหลังเหล่านี้เพื่อปลดปล่อยความทุกข์ยากของคนไทยที่ป่วยด้วยมะเร็ง และโรคภัยต่างๆ “ ร่วมกันแชร์และส่งกำลังใจไปให้เพื่อนทุกคนในมูลนิธิข้าวขวัญ และร่วมกันต่อสู้เพื่อไม่ให้กฎหมายที่ตราออกมาเอื้ออำนวยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ คนบางกลุ่ม เพิกเฉยต่อผู้เจ็บป่วย และไม่คุ้มครองประโยชน์ของสามัญชนคนส่วนใหญ่ในประเทศ หมายเหตุ : ตำรวจจากสถานีตำรวจภูธร จังหวัดสุพรรณบุรี ทหารและเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 7 ได้จับกุมตัวเจ้าหน้าที่มูลนิธิบางคนไว้ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2562 และได้ออกหมายเรียก เดชา ศิริภัทร ซึ่งจะกลับมาถึงประเทศไทยในวันหรือสองวันนี้ ในข้อหาผลิตและครอบครองกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต “อย่าให้การจับกุมทีมงานเดชา ศิริภัทร สะท้อนนโยบายผูกขาดกัญชาเพื่อกลุ่มทุนใหญ่ของรัฐบาลคสช.ใช่หรือไม่” ดิฉันรู้จักคุณเดชา ศิริภัทรมานานกว่า 35ปี คุณเดชาเป็นคนที่มุ่งมั่นจะพัฒนา และรักษาสายพันธุ์ข้าวไทยไว้เพื่อคนไทย และเป็นคนที่ต่อสู้กับการผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืช และสารเคมีทางการเกษตรของกลุ่มทุนด้านเกษตรมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เพื่อให้ชาวนาและเกษตรกรไทยสามารถพึ่งตนเองได้ และผู้บริโภคมีอาหารที่ปลอดภัยในการบริโภค ตั้งแต่รู้จักคุณเดชาที่ดิฉันเคารพเหมือนพี่ชายมาอย่างยาวนาน ดิฉันยืนยันได้ว่าพี่เดชาทำแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่มีความคิดในการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน จึงไม่น่าแปลกใจในเรื่องกัญชาเพื่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของประชาชนที่พี่เดชาได้ทุ่มเทศึกษามาเป็นเวลานับสิบปี โดยทดลองรักษาตัวเองก่อนเมื่อได้ผลดีแล้ว จึงทำยามามอบให้วัดต่างๆแจกฟรีให้กับผู้ป่วย พี่เดชาและทีมงานอาศัยเงินจากการอบรมความรู้เรื่องกัญชา ที่เก็บคนละ2พันบาท หลังหักค่าใช้จ่ายการอบรม ค่าที่พัก ค่าอาหารแล้ว นำมาเป็นทุนเพื่อทำน้ำมันแจกฟรีให้กับผู้ป่วย พี่เดชาได้ทดลองใช้น้ำมันสกัดจากกัญชากับตนเองก่อนในการรักษาอาการเริ่มต้นของพาร์กินสัน คืออาการมือสั่น และรักษาเรื่องความจำที่ถดถอย และยังทดลองกับสายตาที่มีอาการวุ้นนัยตาเสื่อม ซึ่งได้ผลดี หลังจากนั้นจึงได้ทดลองทำยาให้คนป่วยมะเร็งที่หมอไม่รักษาแล้ว หรือคนไข้ไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาที่แพงลิบลิ่วได้ นอกจากโรคมะเร็งแล้ว ยังมีคนป่วยด้วยอาการ อื่นๆที่หายด้วยน้ำมันสกัดกัญชา ที่น่าสนใจมากเช่นอาการปวดไมเกรน ที่คนไข้ต้องฉีดเสตียรอยส์เข้าก้านสมอง หรือโรคลมชัก อาการอัลไซเมอร์ ที่ผู้ป่วยนอนติดเตียง ฯลฯ คนเหล่านี้มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พี่เดชาได้ทดลองใช้น้ำมันสกัดจากกัญชาความเข้มข้นต่ำเพียง3% ในน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นกับผู้ป่วยจำนวนนับพันคน และมีการเก็บข้อมูลคนป่วยเหล่านั้น ซึ่งเป็นฐานข้อมูลชั้นดีในการต่อยอดงานวิจัยทางการแพทย์สำหรับประชาชนไทย อันเป็นคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ ที่ทางราชการควรมองเห็น และใช้ประโยชน์จากงานเพื่อมนุษยธรรมนี้ของพี่เดชา แทนที่จะมองแบบทื่อๆว่า การมีกัญชา ซึ่งเป็นยาเสพติด เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ดิฉันอดแปลกใจไม่ได้ที่มีข่าวปรากฎในสื่อมวลชนว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2562 มีตำรวจปปส.บุกเข้าไปตรวจจับกัญชาที่มูลนิธิข้าวขวัญ ในขณะที่พี่เดชาเดินทางไปบรรยายที่ประเทศลาวและจับกุมทีมงานของพี่เดชาไปเก็บตัวไว้ถึง 72 ชั่วโมง ทั้งที่ช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงนิรโทษกรรม 90วัน (ตั้งแต่ 25 ก.พ - 25 พ.ค 2562) ตามพ.ร.บ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ 2522 แก้ไขปี 2562 ที่ได้ปลดล็อคกัญชาจากยาเสพติดประเภทที่5 ให้สามารถนำมาใช้ในทางการแพทย์ได้ ตามมาตรา22 แห่งพ.ร.บ ที่แก้ไข และรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข มีประกาศหลักเกณฑ์การนิรโทษกรรมผู้ครอบครองกัญชาเพื่อการแพทย์ว่า “โดยที่เป็นการสมควรกำหนดให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ การรักษาผู้ป่วย การใช้รักษาโรคเฉพาะตัว หรือการศึกษาวิจัยได้ แต่ด้วยมีหน่วยงานหรือบุคคลผู้ครอบครองยาเสพติดให้โทษ ในประเภท ๕ เฉพาะกัญชาเพื่อวัตถุประสงค์เหล่านี้ก่อนกฎหมายมีผลใช้บังคับ ไม่ต้องรับโทษ หากมีการดำเนินการตามท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด” “ข้อ ๑ ให้หน่วยงานหรือบุคคลผู้ครอบครองกัญชาก่อนกฎหมายมีผลใช้บังคับ เพื่อประโยชน์ ทางการแพทย์ การรักษาผู้ป่วย การใช้รักษาโรคเฉพาะตัว หรือการศึกษาวิจัย ดังต่อไปน้ี ต้องแจ้ง ลักษณะและปริมาณกัญชาที่มีไว้ในครอบครองภายในเก้าสิบวันนับแต่พระราชบัญญัติดังกล่าว ใช้บังคับ” ฯลฯ แม้มีกฎหมายนิรโทษกรรม แต่ถ้าการมีกัญชาไว้เพื่อจำหน่ายนั้น ก็อาจเป็นกรณีที่ตำรวจสมควรเข้าไปตรวจสอบจับกุมได้ แต่ก็ไม่ปรากฎว่ามีการจับกุมผู้ค้าน้ำมันสกัดจากกัญชาแต่ประการใด ส่วนกรณีของพี่เดชาไม่ได้มีกัญชาไว้เพื่อจำหน่าย แต่มีไว้เพื่อมอบต่อให้วัดเป็นผู้แจกกับผู้ป่วยแบบให้เปล่า โดยให้ผู้ป่วยได้มารับศีล และฟังธรรมจากพระในวัดนั้นๆ นับเป็นการใช้วัฒนธรรมพุทธศาสนาที่เน้นการแบ่งปันเกื้อกูลกันตามหลักของทาน และศีลในพุทธศาสนา ข้อตอบแทนจากผู้ป่วยคือข้อมูลอาการเจ็บป่วย และผลหลังจากการใช้ยา ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษาวิจัยทางการแพทย์เพื่อประโยชน์ของคนไทยต่อไป ดิฉันจึงมีความเห็นว่าทางตำรวจสมควรพิจารณางดเว้นการจับกุมในช่วงเวลานิรโทษกรรม 90วัน ซึ่งมีกำหนดสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม 2562 การออกกฎหมายปลดล็อคกัญชานั้น สังคมยังมีข้อสงสัยว่า การปลดล็อคกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์นั้น แท้จริงมุ่งหมายให้กลุ่มทุนใหญ่เป็นผู้ผูกขาดทั้งการปลูก การสกัด และการจำหน่าย ใช่หรือไม่ สิ่งที่เป็นข้อสงสัยคือประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรจากการปลดล็อคกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ หากกัญชาถูกผูกขาดโดยกลุ่มทุนในการหากำไรจากความเจ็บป่วยของประชาชน ใช่หรือไม่ การเข้าจับกุมทีมงานของคุณเดชา ศิริภัทร ทั้งที่กฎหมายเปิดโอกาสการนิรโทษกรรมอยู่นั้น ยิ่งจะทำให้สังคมเข้าใจไปได้ว่า การจับกุมครั้งนี้เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม หยุดยั้งงานที่ทำเพื่อมนุษยธรรมในการช่วยเหลือผู้ป่วยได้รับยาแบบให้เปล่าหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อเปิดทางให้กลุ่มทุนใหญ่สามารถผูกขาดการปลูก การสกัด และการจำหน่ายในอนาคตด้วยข้ออ้างในเรื่องความมีมาตรฐาน ใช่หรือไม่ สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำเพื่อแสดงความจริงใจว่าการปลดล็อคกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์นั้นทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน ข้อแนะนำของดิฉันคือ ในกรณีของคุณเดชา รัฐบาลควรให้มีหน่วยงานราชการ เช่นโรงพยาบาลของรัฐ อย่างร.พ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ,ร.พ ที่พะเยา หรือร.พ ใดๆที่มีความสนใจ และความพร้อม หรือมหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชนอย่าง มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น มาช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้กับงานศึกษาวิจัยของคุณเดชา เพื่อให้การสกัดน้ำมันกัญชาเป็นไปอย่างมีมาตรฐานและความปลอดภัย และควรเชิญบุคคลอย่างนายแพทย์ธีรวัฒน์ เหมะจุฑา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรค และอาการทางจิตประสาท มาร่วมเป็นพี่เลี้ยง หรือคณะกรรมการในการศึกษาและการวิจัย ซึ่งงานเช่นนี้จะเป็นประโยชน์ในการสำรวจรวบรวมอาการของโรค ที่กัญชาสามารถใช้รักษา และบรรเทาอาการได้ หากทำได้เช่นนี้ ประชาชนจึงจะเชื่อในความจริงใจของรัฐบาลคสช.ว่ามุ่งปลดล็อคกัญชาเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นการจับกุมทีมงานและคุณเดชา ศิริภัทร อาจกลายเป็นการสะท้อนนโยบายผูกขาดกัญชาเพื่อกลุ่มทุนใหญ่ของรัฐบาลคสช.ก็ได้ ใช่หรือไม่ หลายฝ่ายแสดงความวิตกและห่วงใยกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกค้นและจับกุมกัญชาในมูลนิธิข้าวขวัญ ที่มีนายเดชา ศิริภัทร เป็นประธาน เนื่องจากเชื่อว่าการมีกัญชาไว้ในครอบครองนั้นเพื่อเป็นการค้นคว้าและรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ ได้มีบุคคลและองค์กรจำนวนมากได้เขียนแสดงความคิดเห็น โดยในเฟสบุคของมูลนิธิชีววิถี หรือ biothai ซึ่งมียอดแชร์ 1,800 ครั้งระบุว่า แม้เพียงพบกันครั้งแรก หลายคนคงสัมผัสได้ว่าเบื้องหลังงานของ “เดชา ศิริภัทร” ในฐานะครูผู้สอนเรื่องข้าวและเกษตรกรรมที่ยั่งยืน คือความเมตตาเพื่อให้ชาวนาและสังคมไทยหลุดพ้นจากความทุกข์ยากจากปัญหาความยากจน ก้าวข้ามระบบเกษตรกรรมและอาหารที่พึ่งพาสารพิษร้ายแรงทั้งหลาย โดยไม่หวังผลประโยชน์ใดๆเพื่อตนเอง ในเฟสบุคของ biothai ระบุด้วยว่า นายเดชาสนใจเกี่ยวกับเรื่องกัญชารักษาโรคมานานมากกว่า 20 ปี และในช่วง 10 ปีมานี้เขาค้นคว้าเสาะแสวงหาความรู้ ทดลองด้วยตัวเอง และลงมือทำแจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาโรคแก่ผู้คนไม่เลือกหน้าให้หลุดพ้นจากโรคร้าย โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน โดยนายเดชา ทราบดีว่าการครอบครองและแจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อการรักษาโรคยังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศที่มีกฎหมายล้าหลังเช่นประเทศไทย แต่เขายอมแลกกับการที่ตนเองต้องเสี่ยงสูญเสียอิสรภาพ เพื่อต่อสู้ให้มีการยกเลิก และปรับปรุงกฎระเบียบและกฎหมายที่ล้าหลังเหล่านี้เพื่อปลดปล่อยความทุกข์ยากของคนไทยที่ป่วยด้วยมะเร็ง และโรคภัยต่างๆ “ ร่วมกันแชร์และส่งกำลังใจไปให้เพื่อนทุกคนในมูลนิธิข้าวขวัญ และร่วมกันต่อสู้เพื่อไม่ให้กฎหมายที่ตราออกมาเอื้ออำนวยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ คนบางกลุ่ม เพิกเฉยต่อผู้เจ็บป่วย และไม่คุ้มครองประโยชน์ของสามัญชนคนส่วนใหญ่ในประเทศ หมายเหตุ : ตำรวจจากสถานีตำรวจภูธร จังหวัดสุพรรณบุรี ทหารและเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 7 ได้จับกุมตัวเจ้าหน้าที่มูลนิธิบางคนไว้ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2562 และได้ออกหมายเรียก เดชา ศิริภัทร ซึ่งจะกลับมาถึงประเทศไทยในวันหรือสองวันนี้ ในข้อหาผลิตและครอบครองกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต “อย่าให้การจับกุมทีมงานเดชา ศิริภัทร สะท้อนนโยบายผูกขาดกัญชาเพื่อกลุ่มทุนใหญ่ของรัฐบาลคสช.ใช่หรือไม่” ดิฉันรู้จักคุณเดชา ศิริภัทรมานานกว่า 35ปี คุณเดชาเป็นคนที่มุ่งมั่นจะพัฒนา และรักษาสายพันธุ์ข้าวไทยไว้เพื่อคนไทย และเป็นคนที่ต่อสู้กับการผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืช และสารเคมีทางการเกษตรของกลุ่มทุนด้านเกษตรมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เพื่อให้ชาวนาและเกษตรกรไทยสามารถพึ่งตนเองได้ และผู้บริโภคมีอาหารที่ปลอดภัยในการบริโภค ตั้งแต่รู้จักคุณเดชาที่ดิฉันเคารพเหมือนพี่ชายมาอย่างยาวนาน ดิฉันยืนยันได้ว่าพี่เดชาทำแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่มีความคิดในการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน จึงไม่น่าแปลกใจในเรื่องกัญชาเพื่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของประชาชนที่พี่เดชาได้ทุ่มเทศึกษามาเป็นเวลานับสิบปี โดยทดลองรักษาตัวเองก่อนเมื่อได้ผลดีแล้ว จึงทำยามามอบให้วัดต่างๆแจกฟรีให้กับผู้ป่วย พี่เดชาและทีมงานอาศัยเงินจากการอบรมความรู้เรื่องกัญชา ที่เก็บคนละ2พันบาท หลังหักค่าใช้จ่ายการอบรม ค่าที่พัก ค่าอาหารแล้ว นำมาเป็นทุนเพื่อทำน้ำมันแจกฟรีให้กับผู้ป่วย พี่เดชาได้ทดลองใช้น้ำมันสกัดจากกัญชากับตนเองก่อนในการรักษาอาการเริ่มต้นของพาร์กินสัน คืออาการมือสั่น และรักษาเรื่องความจำที่ถดถอย และยังทดลองกับสายตาที่มีอาการวุ้นนัยตาเสื่อม ซึ่งได้ผลดี หลังจากนั้นจึงได้ทดลองทำยาให้คนป่วยมะเร็งที่หมอไม่รักษาแล้ว หรือคนไข้ไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาที่แพงลิบลิ่วได้ นอกจากโรคมะเร็งแล้ว ยังมีคนป่วยด้วยอาการ อื่นๆที่หายด้วยน้ำมันสกัดกัญชา ที่น่าสนใจมากเช่นอาการปวดไมเกรน ที่คนไข้ต้องฉีดเสตียรอยส์เข้าก้านสมอง หรือโรคลมชัก อาการอัลไซเมอร์ ที่ผู้ป่วยนอนติดเตียง ฯลฯ คนเหล่านี้มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พี่เดชาได้ทดลองใช้น้ำมันสกัดจากกัญชาความเข้มข้นต่ำเพียง3% ในน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นกับผู้ป่วยจำนวนนับพันคน และมีการเก็บข้อมูลคนป่วยเหล่านั้น ซึ่งเป็นฐานข้อมูลชั้นดีในการต่อยอดงานวิจัยทางการแพทย์สำหรับประชาชนไทย อันเป็นคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ ที่ทางราชการควรมองเห็น และใช้ประโยชน์จากงานเพื่อมนุษยธรรมนี้ของพี่เดชา แทนที่จะมองแบบทื่อๆว่า การมีกัญชา ซึ่งเป็นยาเสพติด เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ดิฉันอดแปลกใจไม่ได้ที่มีข่าวปรากฎในสื่อมวลชนว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2562 มีตำรวจปปส.บุกเข้าไปตรวจจับกัญชาที่มูลนิธิข้าวขวัญ ในขณะที่พี่เดชาเดินทางไปบรรยายที่ประเทศลาวและจับกุมทีมงานของพี่เดชาไปเก็บตัวไว้ถึง 72 ชั่วโมง ทั้งที่ช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงนิรโทษกรรม 90วัน (ตั้งแต่ 25 ก.พ - 25 พ.ค 2562) ตามพ.ร.บ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ 2522 แก้ไขปี 2562 ที่ได้ปลดล็อคกัญชาจากยาเสพติดประเภทที่5 ให้สามารถนำมาใช้ในทางการแพทย์ได้ ตามมาตรา22 แห่งพ.ร.บ ที่แก้ไข และรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข มีประกาศหลักเกณฑ์การนิรโทษกรรมผู้ครอบครองกัญชาเพื่อการแพทย์ว่า “โดยที่เป็นการสมควรกำหนดให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ การรักษาผู้ป่วย การใช้รักษาโรคเฉพาะตัว หรือการศึกษาวิจัยได้ แต่ด้วยมีหน่วยงานหรือบุคคลผู้ครอบครองยาเสพติดให้โทษ ในประเภท ๕ เฉพาะกัญชาเพื่อวัตถุประสงค์เหล่านี้ก่อนกฎหมายมีผลใช้บังคับ ไม่ต้องรับโทษ หากมีการดำเนินการตามท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด” “ข้อ ๑ ให้หน่วยงานหรือบุคคลผู้ครอบครองกัญชาก่อนกฎหมายมีผลใช้บังคับ เพื่อประโยชน์ ทางการแพทย์ การรักษาผู้ป่วย การใช้รักษาโรคเฉพาะตัว หรือการศึกษาวิจัย ดังต่อไปน้ี ต้องแจ้ง ลักษณะและปริมาณกัญชาที่มีไว้ในครอบครองภายในเก้าสิบวันนับแต่พระราชบัญญัติดังกล่าว ใช้บังคับ” ฯลฯ แม้มีกฎหมายนิรโทษกรรม แต่ถ้าการมีกัญชาไว้เพื่อจำหน่ายนั้น ก็อาจเป็นกรณีที่ตำรวจสมควรเข้าไปตรวจสอบจับกุมได้ แต่ก็ไม่ปรากฎว่ามีการจับกุมผู้ค้าน้ำมันสกัดจากกัญชาแต่ประการใด ส่วนกรณีของพี่เดชาไม่ได้มีกัญชาไว้เพื่อจำหน่าย แต่มีไว้เพื่อมอบต่อให้วัดเป็นผู้แจกกับผู้ป่วยแบบให้เปล่า โดยให้ผู้ป่วยได้มารับศีล และฟังธรรมจากพระในวัดนั้นๆ นับเป็นการใช้วัฒนธรรมพุทธศาสนาที่เน้นการแบ่งปันเกื้อกูลกันตามหลักของทาน และศีลในพุทธศาสนา ข้อตอบแทนจากผู้ป่วยคือข้อมูลอาการเจ็บป่วย และผลหลังจากการใช้ยา ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษาวิจัยทางการแพทย์เพื่อประโยชน์ของคนไทยต่อไป ดิฉันจึงมีความเห็นว่าทางตำรวจสมควรพิจารณางดเว้นการจับกุมในช่วงเวลานิรโทษกรรม 90วัน ซึ่งมีกำหนดสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม 2562 การออกกฎหมายปลดล็อคกัญชานั้น สังคมยังมีข้อสงสัยว่า การปลดล็อคกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์นั้น แท้จริงมุ่งหมายให้กลุ่มทุนใหญ่เป็นผู้ผูกขาดทั้งการปลูก การสกัด และการจำหน่าย ใช่หรือไม่ สิ่งที่เป็นข้อสงสัยคือประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรจากการปลดล็อคกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ หากกัญชาถูกผูกขาดโดยกลุ่มทุนในการหากำไรจากความเจ็บป่วยของประชาชน ใช่หรือไม่ การเข้าจับกุมทีมงานของคุณเดชา ศิริภัทร ทั้งที่กฎหมายเปิดโอกาสการนิรโทษกรรมอยู่นั้น ยิ่งจะทำให้สังคมเข้าใจไปได้ว่า การจับกุมครั้งนี้เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม หยุดยั้งงานที่ทำเพื่อมนุษยธรรมในการช่วยเหลือผู้ป่วยได้รับยาแบบให้เปล่าหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อเปิดทางให้กลุ่มทุนใหญ่สามารถผูกขาดการปลูก การสกัด และการจำหน่ายในอนาคตด้วยข้ออ้างในเรื่องความมีมาตรฐาน ใช่หรือไม่ สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำเพื่อแสดงความจริงใจว่าการปลดล็อคกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์นั้นทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน ข้อแนะนำของดิฉันคือ ในกรณีของคุณเดชา รัฐบาลควรให้มีหน่วยงานราชการ เช่นโรงพยาบาลของรัฐ อย่างร.พ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ,ร.พ ที่พะเยา หรือร.พ ใดๆที่มีความสนใจ และความพร้อม หรือมหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชนอย่าง มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น มาช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้กับงานศึกษาวิจัยของคุณเดชา เพื่อให้การสกัดน้ำมันกัญชาเป็นไปอย่างมีมาตรฐานและความปลอดภัย และควรเชิญบุคคลอย่างนายแพทย์ธีรวัฒน์ เหมะจุฑา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรค และอาการทางจิตประสาท มาร่วมเป็นพี่เลี้ยง หรือคณะกรรมการในการศึกษาและการวิจัย ซึ่งงานเช่นนี้จะเป็นประโยชน์ในการสำรวจรวบรวมอาการของโรค ที่กัญชาสามารถใช้รักษา และบรรเทาอาการได้ หากทำได้เช่นนี้ ประชาชนจึงจะเชื่อในความจริงใจของรัฐบาลคสช.ว่ามุ่งปลดล็อคกัญชาเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นการจับกุมทีมงานและคุณเดชา ศิริภัทร อาจกลายเป็นการสะท้อนนโยบายผูกขาดกัญชาเพื่อกลุ่มทุนใหญ่ของรัฐบาลคสช.ก็ได้ ใช่หรือไม่