คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ/ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย การเมืองของสหรัฐอเมริกาในยุคนี้นับได้ว่า สุภาพสตรีเข้าไปมีบทบาทสำคัญอยู่ไม่น้อย และยังเป็นเรื่องที่น่าลุ้นอีกด้วยเช่นกันว่าหญิงคนไหนที่จะมีโอกาสก้าวเข้าไปสู่ทำเนียบขาว อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯปี 2020 ที่จะมาถึงในปีหน้านี้ โอกาสของสตรีที่จะก้าวเข้ามาเป็นม้ามืดในตำแหน่งประธานาธิบดีต่างก็สังกัดอยู่ในพรรคเดโมแครต ซึ่งมีอยู่สองท่านด้วยกันนั่นก็คือ “วุฒิสมาชิกคามาลา แฮริส”จากรัฐแคลิฟอร์เนียและ “อลิซาเบธ วอเรน” จากรัฐแมสซาชูเซตส์ นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ยังมีนักการเมืองสุภาพสตรีดาวรุ่งพุ่งแรงหน้าใหม่ที่กำลังมาแรงสุดๆในขณะนี้ได้แก่ “อเล็กซานเดรีย โอคาซิโอ คอร์เทซ” จากรัฐนิวยอร์ก แต่ขณะนี้อเล็กซานเดรียมีอายุเพียง 29 ปี ฉะนั้นกว่าเธอจะมีสิทธิ์ลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีได้นั้น เธอจะต้องตั้งหน้าตั้งตารอไปอีกอย่างน้อยหกปี เนื่องจากรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาได้กำหนดไว้ว่า “ผู้ที่มีสิทธิ์จะเข้าไปดำรงในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาได้นั้น จะต้องมีอายุอย่างน้อย 35 ปีขึ้นไป” และถึงแม้ว่าขณะนี้อเล็กซานเดรียจะได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่เพิ่งผ่านมาปีที่แล้วก็ตาม แต่เธอก็ได้กลายเป็นนักการเมืองสตรีที่มีทั้งนักการเมืองจากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันต่างพากันยำเกรง เนื่องจากเธอมีออร่าในความเป็นผู้นำ (Charisma) และยังมีบุคลิกโดดเด่นพูดจาฉะฉานที่มากด้วยนโยบายนอกกรอบ จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่เธอกำลังเป็นที่นิยมชมชอบจากทั้งสื่อและอเมริกันชนอย่างกว้างขวาง!!! อเล็กซานเดรียมีพื้นเพจากชาวโปโตริกันที่บิดาของเธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อตอนอายุ 48 ปี ทำให้แม่ของเธอต้องกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวยึดอาชีพเป็นแม่บ้านทำความสะอาด และเนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอครอบครัวจึงเต็มไปด้วยความยากลำบากบ้านก็จะถูกธนาคารยึดเพราะไม่มีเงินจ่าย ขณะนั้นอเล็กซานเดรียกำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ปีสอง ณ มหาวิทยาลัยบอสตัน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนชั้นนำอีกแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา โดยเธอต้องกระเสือกกระสนทำงานทุกๆอย่างไม่เลือก เพื่อช่วยหารายได้จุนเจือครอบครัว อนึ่งขณะที่อเล็กซานเดรียเป็นนักศึกษาอยู่นั้น เธอเป็นนักกิจกรรม โดยปกติแล้วนั้นจะเห็นได้ว่า นักศึกษาที่เป็นนักกิจกรรมมักจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในอาชีพหน้าที่การงานค่อนข้างสูง อีกทั้งขณะที่อเล็กซานเดรียกำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยปีที่สองนั้น เธอก็ได้รับประสบการณ์ชีวิตที่ไม่ธรรมดา โดยเธอมีโอกาสเข้าไปฝึกงานที่สำนักงานของวุฒิสมาชิกเท็ด เคนเนดี ซึ่งเป็นนักการเมืองผู้ทรงอิทธพลที่หาตัวจับยาก!!! การเข้าไปฝึกงานในสำนักงานของวุฒิสมาชิกเคนเนดี นับเป็นโอกาสแสนจะพิเศษแบบสุดๆ เพราะเธอได้เรียนรู้สามารถเก็บเกี่ยวประสพการณ์รอบด้านไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการเลือกตั้ง การกำหนดนโยบาย วิธีการเขียนสุนทรพจน์ วิธีการแถลงข่าว วิธีการหาเม็ดเงิน วิธีการสร้างเครือข่าย การเก็บและสร้างฐานข้อมูลผู้ลงคะแนนเสียงเป็นต้น ประสบการณ์เช่นนั้นรวมกับการจบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยบอสตันด้วยคะแนนเกียรตินิยมแล้ว นับเป็นใบเบิกทางที่ดีสำหรับเธอที่ต้องการจะเข้าไปแหวกว่ายอยู่ในแวดวงการเมือง เพราะนักการเมืองส่วนใหญ่ของสหรัฐต่างก็ผ่านกระบวนการเช่นนี้มาแล้วแทบทั้งสิ้น เมื่อครั้งที่อเล็กซานเดรียตัดสินใจที่จะสมัครลงแข่งขันสมาชิกผู้แทนราษฎรเขต 14 ณ นครนิวยอร์กนั้น นอกเหนือจากเธอจะไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในพื้นที่แล้ว ก็ยังไม่มีเม็ดเงินสนับสนุนด้วยเช่นกัน และยังปรากฏอีกด้วยว่า คู่แข่งของเธอเป็นนักการเมืองทรงอิทธิพลสูงอันดับสี่ของค่ายพรรคเดโมแครต!!! นักการเมืองวัยเก๋าผู้นั้นก็คือ “โจ คราวเลย์” ที่นั่งครอบครองอยู่ในตำแหน่งส.ส.มานานถึงยี่สิบปี โดยในพรรคเดโมแครตมีการวางแผนเอาไว้แล้วว่า เขาน่าจะเป็นผู้ที่จะมีโอกาสดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรอีกด้วย ทั้งนี้ส.ส.โจ คราวเลย์ ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากผู้ว่าฯรัฐนิวยอร์ก เทศมนตรีนครนิวยอร์ก วุฒิสมาชิกของนครนิวยอร์กทั้งสองคน รวมไปถึงสมาชิกผู้แทนราษฎรแทบทุกคนในรัฐนิวยอร์ก ยกเว้นสมาชิกผู้แทนฯเพียงคนเดียวที่ออกมาประกาศสนับสนุนอเล็กซานเดรีย และยังมีการคาดกันว่า “ โอกาสที่อเล็กซานเดรียจะได้รับชนะมีอยู่แค่เพียง 1 ต่อ 10 ” แต่อเล็กซานเดรียก็ไม่ยอมถอดใจยอมแพ้ โดยเธอระดมประสบการณ์ทั้งหมดของการเป็นนักกิจกรรมในมหาวิทยาลัย รวมกับการที่ได้ทีโอกาสเข้าไปฝึกงานในสำนักงานของวุฒิสมาชิกเคนเนดี้ ผนวกกับการที่เธอเคยยึดอาชีพบาร์เทนเดอร์ ถือได้ว่าเธอมีทักษะในการมีมนุษย์สัมพันธ์เป็นอย่างดี ผสมผสานกับการที่เธอขยันขันแข็งเดินเคาะประตูทุกบ้านอย่างเต็มที่ไม่ย่อท้อ โดยเธอชูธงในนโยบาย “เป็นปากเป็นเสียงปกป้องให้แก่คนหาเช้ากินค่ำ” โดยวันที่ 26 มิถุนายน 2018 เธอได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้แก่แวดวงการเมืองสหรัฐอเมริกาในเขตที่ 14 แห่งรัฐนิวยอร์ก ในการถล่มนักการเมืองรุ่นลายคราม สส.โจ คราวเลย์ อย่างถล่มทะลาย ถือเป็นการล้มคู่ต่อสู้ยักษ์ใหญ่จนได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต และเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนปีกลาย วันเลือกตั้งกลางสมัยเธอได้รับชัยชนะเหนือ “แอนโทนี แปปปาส” คู่แข่งตัวแทนพรรครีพับลิกัน มีผลทำให้เธอได้กลายเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐอเมริกา โดยแนนซี่ เพลโลซีประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ทำพิธีสาบานตัวให้อเล็กซานเดรียเข้ารับตำแหน่งสมาชิกผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2019 ที่เพิ่งจะผ่านมาไม่กี่เดือนนี้เอง ทันทีที่อเล็กซานเดรียก้าวเข้าสู่ตำแหน่งสมาชิกผู้แทนราษฎรชื่อเสียงและอิทธิพลของเธอก็ดังกระฉ่อนสูงขึ้น ซึ่งมีมากกว่านักการเมืองมืออาชีพที่คร่ำหวอดอยู่ในสภาคองเกรสด้วยซ้ำไป อีกทั้งเธอยังได้รับการแต่งตั้งเข้าเป็นคณะกรรมาธิการชุดสำคัญๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก้าวเข้าไปอยู่ในคณะกรรมาธิการตุลาการ และคณะกรรมการการคลังของสภาผู้แทนราษฎร จากผลการหยั่งเสียงของ Monkey Poll เมื่อวัน 22 มกราคมนี้ระบุว่า สมาชิกในพรรคเดโมแครตถึง 70% ต้องการจะเทคะแนนสนับสนุนให้เธอได้มีโอกาสเข้าไปแข่งขันในตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยซ้ำไป อีกทั้งขณะนี้ยังปรากฏอีกด้วยว่าเธอได้รับคะแนนนิยมเหนือ “วุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์”ผู้นำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาด้วยซ้ำไป กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นจะเห็นได้ว่าแม้ “อเล็กซานเดรีย โอคาซิโอ คอร์เทซ” จะเป็นสุภาพสตรีที่มีหน้าตาอ่อนหวานสะสวยแต่จากการที่เธอมีความสามารถเป็นนักพูดที่มีสำนวนโวหารอย่างชัดเจน มีความมั่นใจสูง มีความกล้าหาญ และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล จึงไม่เป็นการแปลกแต่อย่างใดที่ในอีกหกปีข้างหน้าเราคงจะมีโอกาสได้เห็นเธอลงสมัครแข่งขันในตำแหน่งประธานาธิบดี สืบเนื่องมาจากพรรคเดโมแครตฝากความหวังเอาไว้กับเธออย่างเต็มเปี่ยมละครับ