เรื่อง/ชนิดา สระแก้ว ภาพ/พสุพล ชัยมงคลทรัพย์ หมายเหตุ: “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์พิเศษ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” ถึงสถานการณ์การเมืองหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา พร้อมทั้งแสดงความเชื่อมั่นว่าพรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาสู่ความแข็งแกร่งได้เหมือนเดิม มีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้ -จะให้คำจำกัดความการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างไร เป็นการเลือกตั้งภายใต้บริบทประชาธิปไตยครึ่งใบ เพราะว่าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่มีการกำหนดเงื่อนไขต่างๆในบทเฉพาะกาลไว้ ทำให้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ยังเกิดขึ้นไม่ได้ และเป็นการเลือกตั้งที่ประชาชนมีความคาดหวังหลายประการ อย่างน้อย 3 ข้อคือ 1.หลังการเลือกตั้งประชาชนคาดหวังว่าจะไม่มีการยึดอำนาจอีก 2.จะไม่มีเหตุนำไปสู่ความขัดแย้ง 3.อยากเห็นรัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เรื่องปากท้อง ซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่รออยู่ข้างหน้าได้ -ในฐานะ “ผู้เล่น” ในกติกาใหม่ คือรัฐธรรมนูญปี 2560 คิดว่า"ผลลัพธ์"ที่เราได้รับครั้งนี้คืออะไร ความจริงการเลือกตั้งครั้งนี้คนเขียนกติกา ก็ลงมาเป็นผู้เล่นด้วย แต่ผลที่ออกมาพรรคประชาธิปัตย์ยอมรับการตัดสินของประชาชน ผลการเลือกตั้งยังไม่นิ่ง และคณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.)ก็ยังมะงุมมะงาหรากับรายละเอียดการคิดคำนวณจำนวนส.ส. โดยเฉพาะบัญชีรายชื่อ รวมทั้งการพิจารณาใบเหลือง ใบแดงแต่ละเขต สิ่งที่ประชาชนทั่วประเทศอยากเห็นคือการปฏิบัติหน้าที่ของกกต.ที่เป็นธรรม และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ แต่จนถึงวันนี้ต้องยอมรับความจริงว่าประชาชนยังขาดความเชื่อมั่นกับกกต.อยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่กกต.ต้องเร่งที่จะพิสูจน์ตัวเองจากการกระทำ รวมทั้งการวินิจฉัยในทุกเรื่องให้เป็นที่ยอมรับได้ และให้เป็นไปตามหลักกฎหมายเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งที่เสรี และเป็นธรรมจริง -ผลลัพธ์ที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลายเป็นขนาดกลาง คิดว่าเกิดจากตัวกฎหมาย หรือสมาชิกพรรคประมาท โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ถูกพรรคใหม่อย่าง พลังประชารัฐ อนาคตใหม่ ลงไปแจ้งเกิดได้ ต้องยอมรับว่ากติกาใหม่จริง เพราะว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาประชาชนได้บัตร 2 ใบ เลือกคน และพรรค แต่การเลือกตั้งครั้งนี้นำคนและพรรคมามัดรวมกันเป็นคะแนนเดียว ซึ่งไม่สามารถประเมินได้ โดยใช้ฐานการเลือกตั้งที่ผ่านมาว่าสุดท้ายแล้วพรรคจะได้คะแนนเท่าไหร่ รวมทั้งพรรคการเมืองอื่น ๆด้วยเท่าที่พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ก็บอกว่ายากที่จะประเมินเช่นเดียวกัน แต่สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้ประมาทไม่ว่าจะภาคไหนก็ตาม เราได้เตรียมการตั้งแต่ตัวบุคคล และนโยบาย เพื่อสะท้อนประชานได้เห็นว่าเราพร้อมที่จะเป็นทางเลือกหลักทางเลือกหนึ่งของประเทศอย่างไร เมื่อประชาชนได้ตัดสินไปแล้วเราก็ต้องยอมรับ อะไรที่เป็นข้อบกพร่อง หรืออะไรที่คิดว่าจะต้องปรับปรุงต่อไปในอนาคต เป็นสิ่งที่กรรมการบริหารพรรคจะต้องมาประเมิน และกำหนดแนวทางกันใหม่ เพื่อนำพรรคไปสู่ความรุ่งเรืองในอนาคต ความจริงพรรคประชาธิปัตย์อยู่มา 72 ปี เราก็ผ่านพ้นทุกสถานการณ์มาแล้ว เคยได้ผู้แทนน้อยและได้ผู้แทนอันดับหนึ่งเราก็เคยผ่านมาแล้ว แต่ว่าสุดท้ายเราก็ผ่านพ้นสถานการณ์ยากเย็นมาได้ เพราะว่าเรามีบุคลากรที่มีศักยภาพ มีอุดมการณ์ที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวร่วมกัน ซึ่งสิ่งนี้ทำให้พรรคประชาธิปัตย์อยู่ในใจของคนมาได้อย่างยาวนาน และผมมั่นใจว่าแม้แต่ในอนาคตด้วยเช่นกัน -กติกาใหม่คือรัฐธรรมนูญพ.ศ.2560 และกฎหมายลูกที่ใช้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ คิดว่านักการเมืองและประชาชนเอง มีความพึงพอใจหรือไม่ เพราะวันนี้หลังเลือกตั้งเสร็จมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงสิ่งที่ซ่อนอยูในกติกา โดยเฉพาะสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ ที่หลายฝ่ายไม่ยอมรับ ตรงนี้กกต.ต้องเร่งทำความกระจ่าง เพราะว่าคาใจคนจำนวนมาก รวมทั้งพรรคการเมืองจำนวนมากเหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วการคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อต้องใช้วิธีไหน อย่างไร ผมคิดว่ากำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และในกฎหมายอยู่แล้ว หากกกต.จะถือหลักที่กำหนดไว้ในกฎกติกาอย่างเคร่งครัดคำตอบชัดเจนอยู่แล้ว ถ้ากกต.จะพิจารณาไปทางใดทางหนึ่งจะต้องพิจารณาให้ชัดเจนก่อน เพราะว่าตอนนี้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าอึมครึม เพราะกกต.ปฏิบัติหน้าที่มาหลายเดือน กฎหมายรัฐธรรมนูญก็ชัดเจนแล้ว น่าจะมีคำตอบได้ว่าหลักเกณฑ์ สูตรคำนวณคืออะไร ไม่ใช่เป็นแค่ข่าวลือรายวันเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ว่าสูตรนั้น สูตรนี้ เป็นการสร้างความสับสน ปั่นป่วน ให้เกิดขึ้น เพราะผลการเลือกตั้งมีความสำคัญ หมายถึงการนำไปสู่การตั้งรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศแทนคนไทยทั้ง 60-70ล้านคน ไม่ใช่แค่เรื่องพรรคนั้นจะได้ส.ส.เพิ่มขึ้น หรือลดลงเท่านั้น -สูตรการคำนวณดังกล่าว คิดว่าเป็นธรรมกับพรรคการเมืองหรือไม่ ผมไม่ขอพูดว่าเป็นธรรมกับพรรคขนาดใหญ่ หรือพรรคใดหรือไม่ แต่ว่าต้องเป็นธรรมกับทุกพรรค และต้องอธิบายได้กับทุกคน การยอมรับต้องเกิดขึ้น และจะกลายเป็นการเลือกตั้งที่มีมลทินโดยไม่จำเป็น และอาจจะนำไปสู่การสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลชุดใหม่ด้วยว่าที่มาที่ไปมีข้อสงสัย เพราะฉะนั้นกกต.ต้องสร้างความกระจ่างตั้งแต่ต้น -อยากให้พูดถึงสถานการณ์การเมืองหลังการเลือกตั้ง ว่ามีอะไร เกินความคาดหมาย หรือถึงขั้น "ช็อค"หรือไม่ ผมไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นความคาดหมายของใคร และเป็นความรู้สึกของใคร แต่ผลการเลือกตั้งที่ออกมาเบื้องต้นเท่าที่เห็นตัวเลขคร่าวๆยังไม่นิ่ง และหลายฝ่ายรอดูว่าตัวเลขจริงๆสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แต่ว่าตัวเลขคร่าว ๆบนสถานการณ์ความไม่นิ่งอยู่ในขณะนี้ หลายฝ่ายก็ยังมองอยู่ว่าคะแนนของสองขั้วที่พยายามแข่งกันตั้งรัฐบาลขณะนี้ยังมีความก้ำกึ่งกันอยู่ เพราะฉะนั้นจะขึ้นอยู่กับกกต.จะมีบทบาทสำคัญ ต้องทำให้ทุกอย่างออกมายุติธรรม และอธิบายได้ เพื่อให้เกิดการยอมรับได้ -กว่าจะถึงวันประกาศผลอย่างเป็นทางการ วันที่ 9 พ.ค.โอกาสที่ตัวเลขจะพลิกล็อคเป็นไปได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งจริงๆ เราไม่ทราบจะมีใบเหลือง ใบแดงกี่ใบ การคำนวณบัญชีรายชื่อจะผิดเพี้ยนไปจากสูตรที่ถกเถียงกันอยู่ทุกวันนี้อีกหรือไม่ ก็จะเป็นปัจจัยแวดล้อมที่จะเป็นตัวกำหนด -ก่อนและหลังการเลือกตั้ง "ความขัดแย้ง" มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นหรือไม่อย่างไร เพราะล่าสุดเกิดการชุมนุมต่อต้านกกต.จนทำให้หลายฝ่ายแสดงความกังวลว่าจะบานปลาย เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่ออกมาเตือนให้กกต.ต้องตระหนักในการดำรงความยุติธรรมสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นที่ยอมรับได้และไม่เป็นปัญหาต่อไปในอนาคต -วันนี้หลายคนเริ่มกังวลว่า เราอาจจะไม่มีรัฐบาลใหม่ เพราะเลือกตั้งแล้วปัญหาไม่จบ ตอบไม่ได้ ไกลเกินกว่าที่จะวินิจฉัยได้ -ในฐานะพรรคผ่านสถานการณ์มาทุกช่วงเวลา และสำหรับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นครั้งนี้ คิดว่าพรรคจะผ่านพ้น กลับไปสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง คนประชาธิปัตยจะต้องทำอย่างไร ผมมั่นใจว่าทำได้ เพราะว่าในอดีตที่ผ่านมาเราก็พิสูจน์มาแล้วหลายครั้ง ผมคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนไม่ได้เกลียดพรรคประชาธิปัตย์ เพียงแต่สถานการณ์การเมืองขณะนั้นก็มีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจของประชาชน -ระหว่างการตัดสินใจร่วมรัฐบาลกับการเร่งฟื้นฟูความเข้มแข็งของประชาธิปัตย์ จะเดินคู่ขนานกันไปได้หรือไม่ และอย่างไร ผมคิดว่าการกลับมาดูตัวเอง และการมาร่วมมือ ร่วมใจกันในมวลหมู่สมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์ให้กลับมานั่งอยู่ในหัวใจประชาชนในอนาคตอีกครั้งหนึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ส่วนการตัดสินใจทางการเมือง โดยหลักก็เป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ยกเว้นมีสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นโดยเราไม่คาดคิด ขณะที่ยังไม่มีกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ก็จำเป็นต้องตัดสินใจ ซึ่งก็ต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริง และตามสถานการณ์ ส่วนที่ระบุว่าเกินความคาดหมายคืออะไร ผมไม่สามารถตอบได้ว่าช่วงระยะเวลาจากนี้ไป พรรคจะต้องตัดสินใจในเรื่องอะไรเป็นพิเศษบ้างหรือไม่ ผมพูดตามหลักการ ถ้าเป็นเรื่องสำคัญเป็นเรื่องกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แต่ถ้าระยะเวลานี้ยังไม่มีกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ถ้าเกิดเหตุการณ์หรือสถานการณ์อะไรที่พรรคจะต้องตัดสินใจ จำเป็นต้องตัดสินใจก็เป็นหน้าที่ของชุดรักษาการที่จะต้องดำเนินการ ผมเชื่อว่าทุกคนเข้าใจ และผมในฐานะรักษาการก็พยายามที่จะประคับประคองพรรคไปจนกว่าจะได้กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ -อะไรที่เป็นสาเหตุทำให้พรรคประชาธิปัตย์ที่เคยเหนียวแน่นกลับมา แบ่งเป็นกลุ่ม ก๊ก ในตอนนี้ ผมว่าแค่ความเห็นต่าง ซึ่งเป็นเรื่องปกติของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเราเป็นพรรคประชาธิปไตย แต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับมติพรรค ผมยังมั่นใจว่าทุกคนยอมรับและในทุกยุค ทุกสมัยก็มีความเห็นที่หลากหลายเสมอก่อนตัดสินใจ ผมคิดว่าเป็นเรื่องดี ไม่ใช่ความเห็นเดียวที่สั่งการมาโดยใครคนใดคนหนึ่ง และมีกระบวนการแค่พิธีกรรม เพื่อสู่นำไปสู่เป้าหมายความเห็นที่สั่งการมาไม่ใช่อย่างนั้น ผมมองว่าเป็นเรื่องปกติ พรรคการเมืองทั่วโลกที่เป็นประชาธิปไตยภายในก็เป็นอย่างนี้ -คิดว่าหัวหน้าพรรคคนใหม่จะทำให้สมาชิกพรรคเป็นหนึ่งเดียว และกลับมาเหนียวแน่นเหมือนเดิม ผมไม่พูดถึงหัวหน้าพรรคคนใหม่ เพราะผมยังไม่ทราบว่าจะเป็นใคร แต่ในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรคผมมั่นใจว่า ในความเป็นประชาธิปัตย์เราสามารถเดินหน้าไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันได้ในอนาคตอย่างแน่นอน