“บิ๊กตู่” ซัดพวกหลีกเลี่ยงกฎหมายเป็น"คนเลว" ฉุนสื่อพาดหัวไม่ถูกใจ ถามอยากเห็นประเทศกลับมาขัดแย้งหรือ ยันเลือกตั้งสั่งใครไม่ได้ “กกต.”สั่ง“ขอนแก่น”นับคะแนนใหม่ 2 หน่วย พร้อมให้จัดการเลือกตั้งใหม่ 5 จังหวัด จำนวน 6 หน่วย ปมจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ตรงกับจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ใช้ลงคะแนน "กรธ."แจงระบบคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อตีความได้สองแบบ โยน“กกต.”ตัดสินว่าคิดคำนวณจากทุกพรรค หรือเลือกเฉพาะพรรคที่ได้ ส.ส.เขต ยันเจตนารมณ์ กรธ.ทุกคะแนนไม่ทิ้งน้ำ แนะส่ง“ศาล รธน.” ตีความหากไม่ได้ข้อยุติ ส่วน“อนุทิน”ปัดกระแสข่าว“พรรคภูมิใจไทย”ร่วมวงตั้งรัฐบาล ยันไม่เจอ“ประยุทธ์”ในงานแต่งลูกชายวิษณุ ย้ำรอ “กกต.”รับรองผลทางการ 9 พ.ค.นี้ ชี้เข้าสู่“พระราชพิธีสำคัญ”ทุกอย่างต้องนิ่ง เชื่อ“นิสิตนักศึกษา”เคลื่อนไหวไม่วุ่น ขณะที่“ภูมิธรรม”ปัดเพื่อไทยดัน“ชัยเกษม”เสียบแทนหญิงหน่อย ที่สโมสรทหารบก(ส่วนกลาง) ถนนวิภาวดีฯ เมื่อวันที่ 4 เม.ย.62 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานพิธีมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ครั้งที่ 5 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ซึ่งมีหน่วยงานที่ได้รับรางวัล 27 หน่วยงาน 31 รางวัล อาทิ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ได้รับประกาศเกียรติคุณด้านการเบิกจ่าย สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณด้านการตรวจสอบภายในภาครัฐ และรางวัลประกาศเกียรติคุณด้านปลอดความรับผิดทางละเมิด เป็นต้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่ง ว่า ในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้มั่นคงเพื่อพัฒนาประเทศไปสู่นโยบาย 4.0 เราจะไม่ผลีผลามเดินไปทั้งหมด แต่จะต้องมีการเตรียมการให้ทุกอย่างสอดคล้องกัน วันนี้เราใช้คนทำงานกับเครื่องมือ ไม่ได้มุ่งเน้นการใช้หุ่นยนต์แบบเลาะเทอะไปหมด เพราะหุ่นยนต์ต้องใช้ในอุตสาหกรรมที่จำเป็น มีความอันตราย แต่ในขั้นตอนการผลิตจะต้องมีคนควบคุมทั้งหมด วันนี้หลายคนอาจบอกว่าประเทศไทยยังไปไม่ได้ ซึ่งไม่จริง เพราะวันนี้ก็มีการใช้ไปแล้วในบางส่วน และวันหน้าก็อาจการขาดแคนแรงงาน การจะให้ประเทศเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ไม่เซไปเซมา ไม่มีปัญหาการฟ้องร้อง จะต้องมีการจัดการที่ดี มีวินัยการเงินการคลัง มีการตรวจสอบ และมีความโปร่งใส “เราต้องตอบคำถามธรรมาภิบาล 6 ข้อ ให้ได้ ถึงจะเป็นรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลครบ ปัจจุบันนี้เรามีหลายหน่วยงานที่พันกันเยอะมาก บางคนมองว่าหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้ไม่ดี แต่ทั้งหมดต้องทำงานด้วยกัน เป็นเครือข่ายใยแมงมุม วันนี้เราจึงแก้ไขกฎหมายหลายตัวแบบบูรณาการเพื่อลดขั้นตอนให้สามารถทำงานได้ แต่ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใคร แต่เพื่ออำนวยความสะดวก ส่วนกฎหมายการเอาผิดเอาโทษนั้นมีอยู่แล้วอย่างเพียงพอ แต่ทุกคนอยากให้มีมากขึ้น แต่บางคนมักหาวิธีซิกแซ็กหรือทำให้มากกว่ากฎหมาย เพื่อเอาชนะกฎหมายทุกตัว นั่นคือคนเลว อย่างนี้ต้องเรียกว่าคนเลว" ช่วงท้าย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า บุคลิกของตนก็เป็นแบบนี้ เพราะอยู่กับทหารมาโดยตลอด จึงพูดแบบนี้พูดเล่นบ้างอะไรบ้าง บางคนไม่คุ้นชิน ก็เอาไปเป็นสาระสำคัญ เช่นเดียวกับสื่อที่จะเอาไปพาดหัว “ไม่รู้อะไร ผมขี้เกียจไปรบด้วย ถ้าบ้านเมืองไม่สงบเรียบร้อยทุกคนก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย วันนี้วุ่นวายกันหมดแล้ว กำลังดีเรียบร้อยอยู่ จะให้มันไม่ดีขึ้นมาอีก ผมขอพูดอีกครั้ง ในเรื่องการสืบทอดอำนาจของผมนั้น ยืนยันว่าไม่ใช่ นี่คือการเป็นประชาธิปไตยที่ทุกคนต้องการ ที่ต้องการให้มีการเลือกตั้งก็ว่ากันไปผมไม่ได้ต้องการไปเกี่ยวข้อง ผมไปเกี่ยวข้องได้ที่ไหน ไปสั่งเขาได้ที่ไหน เมื่อเลือกตั้งกันมาแล้ว ทุกคนเป็นคนเลือกก็จบกันตรงนั้น แล้วก็ไปแก้ปัญหากันมาให้ได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า “พอพูดแบบนี้ เดี๋ยวสื่อเข้าไปรอถามเรื่องต่างๆ เรื่องฟ้องเรื่องไม่ฟ้อง ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับผม แต่ถ้าผมถูกฟ้องเมื่อไหร่ ผมก็จะตอบ วันนี้ไม่เกี่ยวกับผมยังไม่เกี่ยวซักอันนึงเลย ดังนั้น สื่อไม่ต้องมาถามอะไรผมอีก ผมไม่ตอบ ขี้เกียจตอบ ความขัดแย้งมันเยอะพออยู่แล้ว สื่อก็ถามไม่กี่เรื่อง พาดหัวหนังสือพิมพ์แล้วก็ให้ผมไปตอบ พวกท่านก็เขียนต่ออีก อย่างวันนี้หนังสือพิมพ์รายใหญ่ฉบับหนึ่ง พาดหัวข่าวสองชั้น ตัวเท่าหม้อแกง ถามว่าท่านต้องการความขัดแย้งอีกหรืออย่างไร รับผิดชอบกันด้วยนะ ไม่อยากเอ่ยชื่อ ไปหากันเอาเอง เป็นประจำ” ผู้สื่อข่าวพยายามถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ หมายถึงหนังสือพิมพ์ฉบับใด ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบคำถาม แต่กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ไม่ตอบไปหากันเอาเอง” ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต. แถลงว่า ในที่ประชุม กกต.เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้มีมติพิจารณากรณีผลการนับคะแนนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) และกรณีจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ตรงกับจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ใช้ออกเสียงลงคะแนน โดยสั่งนับคะแนนใหม่ 2 หน่วย และจัดการเลือกตั้งใหม่ 6 หน่วย ทั้งนี้ สั่งให้นับคะแนนใหม่ ในเขตเลือกตั้งที่ 3 จ.ขอนแก่น จำนวน 2 หน่วยเลือกตั้ง กรณีผลการนับคะแนนไม่ตรงกับจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง และจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ใช้ออกเสียงลงคะแนน ได้แก่ หน่วยเลือกตั้งที่ 1 หมู่ที่ 1 ต.บัวใหญ่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น และหน่วยเลือกตั้งที่ 5 หมู่ที่ 5 ต.ม่วงหวาน อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น นอกจากนี้ ได้สั่งให้ออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ จำนวน 6 หน่วยเลือกตั้ง กรณีผลการนับคะแนน ซึ่งมีจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ตรงกับจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ใช้ออกเสียงลงคะแนน ประกอบด้วย 1.จ.ลำปาง เขตเลือกตั้งที่ 4 จำนวน 2 หน่วยเลือกตั้ง ได้แก่ หน่วยเลือกตั้งที่ 6 หมู่ที่ 5 ต.ปางหลวง อ.เกาะคา 2.หน่วยเลือกตั้งที่ 3 หมู่ที่ 2 ต.ศาลา อ.เกาะคา จ.ลำปาง 2.จ.ยโสธร เขตเลือกตั้งที่ 2 หน่วยเลือกตั้งที่ 6 หมู่ที่ 6 ต.หัวเมือง อ.มหาชนะชัย 3.จ.เพชรบูรณ์ เขตเลือกตั้งที่ 1 หน่วยเลือกตั้งที่ 12 หมู่ที่ 12 ต.เข็กน้อย อ.เขาค้อ 4.จ.พิษณุโลก เขตเลือกตั้งที่ 2 หน่วยเลือกตั้งที่ 6 หมู่ที่ 6 ต.มะตูม อ.พรหมพิราม และ5.กรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 13 หน่วยเลือกตั้งที่ 32 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ ด้าน นายอุดม รัฐอมฤต กรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) กล่าวถึงปัญหาการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อกรณีโอเวอร์แฮงค์ ว่า กฎหมายที่มีอยู่ได้พยายามอธิบายว่าจะต้องแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งมันต้องคิดอัตราส่วนโอเวอร์แฮงค์ออกมา แต่ก็ต้องดูว่าจะคิดเฉพาะพรรคที่ได้ส.ส.เขตไปแล้วเท่านั้นหรือไม่ ถ้าคิดแบบนี้มันก็จะมีพรรคอยู่แค่จำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่ก็คิดได้ หรือจะคิดแบบนับคะแนนจากทุกพรรค มันมีวิธีคิดอยู่แค่สองวิธี แต่ของกรธ.เรายืนยันว่าต้องคิดคะแนนจากทุกพรรค ไม่ได้คิดเฉพาะพรรคที่ได้แต่ส.ส.เขต ซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ว่าทุกคะแนนมีความหมายไม่ทิ้งน้ำ แต่พรรคใดจะได้หรือไม่ได้ที่นั่งก็ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของพรรค ซึ่งกกต.จะต้องตัดสินใจ และกกต.ต้องตีความข้อกฎหมายว่าพรรคที่มีจำนวนส.ส.น้อยกว่าค่าเฉลี่ยส.ส.พึงมีของพรรค หมายถึงพรรคที่ได้ส.ส.เขตไปแล้วหรือไม่ หรือหมายถึงตัวเลขที่พรรคควรจะได้ ซึ่งตามภาษากฎหมายสามารถถกเถียงกันได้ นายอุดม กล่าวว่า ส่วนตัวเข้าใจกกต. แต่กกต.มาพิจารณาเรื่องนี้ช้าไปทำให้เกิดความวุ่นวาย แต่ยืนยันว่าในส่วนของกรธ.คิดตรงกันหมด เพราะเป็นเรื่องที่เคยถกเถียงกันมาแล้ว ดังนั้นต้องใช้คะแนนจากทุกพรรคมาเฉลี่ยแก้ปัญหาโอเวอร์แฮงค์ ไม่เฉพาะพรรคที่ได้ส.ส.เขตเท่านั้น ซึ่งกรธ.มีเอกสารเจตนารมณ์ยืนยันชัดเจน ซึ่งก็มีเจ้าหน้าที่ของกกต.มาร่วมอยู่ด้วย แต่ทั้งหมดอยู่ที่คนใช้กฎหมายที่เป็นผู้ถือเจตนารมณ์ถ้ามีข้อโต้แย้งก็อาจต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ กกต.ไม่ต้องยึดตามความเห็นของกรธ. ตอนนี้อยู่ที่ว่ากกต.คิดอย่างไรเท่านั้น ต้องเป็นผู้ยืนยันว่าสูตรไหนถูกต้อง เพราะไม่มีว่าเลือกสูตรไหนก็ได้ ต้องเลือกสูตรเดียว "ระบบสัดส่วนที่เป็นบัตรเดียว ต้องมานั่งคิดว่าคุณจะใช้ตัวเลขที่เท่าไรเป็นตัวตั้ง เดิมแน่นอนว่าค่าเฉลี่ยเป็นตัวตั้งแรก แต่เมื่อค่าเฉลี่ยนี้ มันไม่สามารถที่จะคิดทำให้เกิดเป็นสัดส่วนใน 150 ได้ มันก็จะเป็นต้องหาค่าเฉลี่ยถัดมา ก็ต้องมานั่งคิดอีกว่าตกลงเอาจากทุกพรรคมาคิดค่าเฉลี่ยหรือเอาเฉพาะพรรคที่ได้ส.ส.เขตแล้วมาคิด อันนี้คือโจทย์ที่กกต.จะต้องตัดสิน” นายอุดม กล่าวและว่า ระบบที่กรธ.คิด ถือว่าทุกพรรคเม่าเทียมกันหมด ใครได้มากได้น้อยในท้ายที่สุดก็ต้องมาเฉลี่ยในสัดส่วน 150 ว่าพรรคใดจะได้ที่นั่ง ที่บ้านพักภายในโรงโม่หินศิลาชัย ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นบ้านของนายชัย ชิดชอบ อดีตประธานรัฐสภา โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวการร่วมจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ว่า ขณะนี้มีแต่เพียงการคาดการณ์ ต้องรอวันที่ 9 พ.ค.นี้ ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ เพราะตอนนี้การคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อนั้น เรายังไม่ทราบเลยว่าพรรคภูมิใจไทยจะได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจำนวนเท่าไหร่ ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ไปร่วมงานฉลองมงคลสมรสของบุตรชาย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่ได้พบพล.อ.ประยุทธ์ เพราะมีคนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก จึงไม่ได้เจอกับใคร ตนเพียงแต่นำของขวัญแต่งงานไปให้บ่าวสาว และดื่มน้ำเพียง 2-3 แก้ว เท่านั้น เมื่อถามว่า หากได้ร่วมงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ ยังยึดนโยบายของพรรคภูมิใจไทยเหมือนเดิมหรือไม่ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ต้องรอดูก่อนว่ามีที่นั่ง ส.ส.ของพรรคจำนวนเท่าไหร่ ขณะนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเรามี ส.ส.ทั้ง 2 ระบบจำนวนกี่คน ใจเย็นๆ ยังมีการดำเนินการอีกหลายขั้นตอน “ขณะนี้เข้าสู่โหมดงานพระราชพิธีสำคัญ เราต้องทำให้ทุกอย่างนิ่ง เพราะเป็นพิธีประวัติศาสตร์ที่ทุกคนต้องมีความภาคภูมิใจ ต้องทำให้พิธีเกิดความเรียบร้อยและมีความหมายมากที่สุด” นายอนุทิน กล่าว เมื่อถามถึงกรณีที่มีกลุ่มนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ ออกมาเคลื่อนไหวล่าชื่อเพื่อถอดถอนกกต. จะทำให้เกิดความวุ่นวายหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า คงไม่มีอะไร เพราะทุกคนเป็นคนไทยด้วยกันทั้งหมด คิดว่าไม่น่าจะมีการก่อความวุ่นวายอะไร ขณะนี้ตนมองว่ายังไม่ถึงช่วงเวลาของโหมดการเมืองที่จะต้องมาเกี่ยวข้องอะไร รวมทั้งยังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการของ กกต. ที่พรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระแสพรรคเพื่อไทยปรับแผนดัน นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกคนแทน คุณหญิงสุดารัตน์ เกษยุราพันธุ์ ประธานประยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ว่า ทุกอย่างปกติดี คุณหญิงสุดารัตน์ยังเข้ามาทำงานที่พรรค และได้ไปปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับผู้สมัคร ส.ส.ที่ภาคเหนือ เพราะเป็นห่วงเรื่องปัญหาฝุ่น ฉะนั้นข่าวที่ปรากฏว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงจากคุณหญิงสุดารัตน์เป็นนายชัยเกษม ตนขอแจงเลยว่าแคนติเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย มี 3 คน ซึ่งทั้ง 3 คน ได้ทำตามหน้าที่ที่ทางพรรคได้รับมอบหมาย วันนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาเลือกนายกฯ แค่คะแนนดิบยังไม่ได้ดูเลย อย่าทำให้เกิดประเด็นใหม่เพื่อทำให้เกิดความขัดแย้งภายในพรรค ขณะนี้ประเด็นยังอยู่ที่ กกต. ทั้งเรื่องข้อมูลดิบ เรื่องวิธีการคำนวณที่ยังไม่ชัดเจน