วันนี้ 26 มี.ค.62 ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพบปะพูดคุยพร้อมเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ของผู้สูงอายุกลุ่มรับงานไปทำที่บ้านกลุ่มตุ๊กตาชุดพื้นเมืองและพวงกุญแจช้าง จ.เชียงใหม่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปเส้นกก จ.ปราจีนบุรี กลุ่มสินค้า OTOP กระเป๋าผ้าทอลาย จ.นครสวรรค์ กลุ่มตกแต่งสิ่งของด้วยริบบิ้น จ.นนทบุรี และสถานประกอบการ ได้แก่ ห้างโลตัส บิ๊กซี อินเด็กซ์ แมคโดนัลด์ ที่เข้าร่วมโครงการ “รวมพลังประชารัฐ ส่งเสริมการมีงานทำให้ผู้สูงอายุ” ซึ่งกระทรวงแรงงานจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุได้มีงานทำในอาชีพที่เหมาะสมกับวัยและประสบการณ์ เป็นการสร้างหลักประกันที่มั่นคงด้านรายได้ สร้างคุณค่าและความภาคภูมิใจให้แก่ผู้สูงอายุ ตลอดจนเป็นการเพิ่มบทบาทและคุณค่าของผู้สูงอายุด้วยการมีส่วนร่วมในเชิงเศรษฐกิจ ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐในด้านสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ โดยบูรณาการร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนโดยมี พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นำเยี่ยมชม ทั้งนี้ พันตำรวจตรีหญิง รมยง สุรกิจบรรหาร รองปลัดกระทรวงแรงงาน นางเพชรรัตน์ สินอวย อธิบดีกรมการจัดหางาน และนายสุทธิ สุโกศล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานร่วมด้วย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 เห็นชอบมาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุ 4 มาตรการ/โครงการ คือ 1. มาตรการการจ้างงานผู้สูงอายุ 2. โครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ 3. มาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ 4. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ ให้มีระบบการออมเพื่อการดำรงชีพยามชราภาพเพียงพอหลังเกษียณ ซึ่งในส่วนของกระทรวงแรงงานได้ส่งเสริมการมีงานทำและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุ โดยคณะกรรมการค่าจ้างได้มีการประชุมเพื่อพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างและระยะเวลาทำงานที่เหมาะสมสำหรับการจ้างงานผู้สูงอายุ กล่าวคือ อัตราค่าจ้างรายชั่วโมง : อัตราเดียวเท่ากันทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 45 บาทต่อชั่วโมง ระยะเวลาทำงานไม่ควรเกิน 7 ชั่วโมงต่อวัน และไม่เกิน 6 วันต่อสัปดาห์ ประเภทงานที่ทำได้เช่น งานเสมียนพนักงาน งานอาชีพเกี่ยวกับการค้า งานอาชีพด้านบริการ เช่น แคชเชียร์ เป็นต้นหรืองานซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างผู้สูงอายุ ในปี 2562 มีเป้าหมาย 100,000 คน แบ่งเป็นแรงงานผู้สูงอายุในระบบ จำนวน 20,000 คน ประกอบด้วย 1) ลูกจ้างเอกชน 15,000 คน 2) ลูกจ้างภาครัฐ/รัฐวิสาหกิจ 5,000 คน และแรงงานผู้สูงอายุนอกระบบ จำนวน 80,000 คน ประกอบด้วย 1) ส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ จำนวน 70,000 คน 2) ส่งเสริมการรับงานไปทำที่บ้าน จำนวน 10,000 คน พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าว