คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ/ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย แม้ว่าวันเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯจะคงเหลือเวลาอีกเกือบสองปีก็ตาม แต่ขณะนี้กลับปรากฏว่าฤดูกาลหาเสียงเริ่มตีระฆังเปิดสังเวียนแห่งการต่อสู้ขึ้นแล้ว สมาชิกภายในพรรคเดโมแครตที่มีความใฝ่ฝันต้องการจะก้าวเข้าไปสู่ทำเนียบขาวในขณะนี้มีทั้งหมด 24 คนด้วยกัน แต่กลับมีแนวโน้มว่าจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตราบใดก็ตามที่ผลการทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เป็นที่พึงพอใจต่ออเมริกันชน!!! โดยคะแนนเฉลี่ยของประธานาธิบดีทรัมป์ขณะนี้มีค่อนข้างต่ำแค่เพียง 39%  ซึ่งเมื่อการณ์ปรากฏเยี่ยงนี้ก็ยิ่งทำให้นักการเมืองของทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตที่มีความใฝ่ฝันต้องการจะเข้าเส้นชัยเดินหน้าสู่ทำเนียบขาวมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกทีๆ ผู้ที่อยู่ในข่ายที่ได้กล่าวมาข้างต้นได้แก่ "บิล เวลท์" อดีตผู้ว่าฯรัฐแมสซาชูเซตส์สองสมัย, "จอห์น คาซิก"อดีตผู้ว่ารัฐโอไฮโอ และ "แลร์รี โฮแกน" ผู้ว่าฯรัฐแมรีแลนด์     ขณะนี้ยังปรากฏอีกเช่นเดียวกันว่านักการเมือง 24 คนในพรรคเดโมแครตต่างก็หวังตั้งใจที่จะลงแข่งขันเป็นตัวแทนของพรรค โดยสัปดาห์ก่อนหน้านี้ "วุฒิสมาชิกเบอร์นี แซนเดอร์ส" กลายเป็นตัวเก็งได้รับการจัดอันดับว่ามีโอกาสจะได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต จึงปรากฏผลว่าทันทีที่วุฒิสมาชิกแซนเดอร์สป่าวประกาศว่าจะลงแข่งขันเป็นตัวแทนของพรรคอย่างเป็นทางการ ก็มีจำนวนของผู้บริจาคหลั่งไหลมาสนับสนุนเขาแล้วกว่า 360,000 ราย และได้รับเงินบริจาคไปแล้วกว่าสิบล้านเหรียญ!!! และเนื่องจากวุฒิสมาชิกแซนเดอรส์เป็นนักการเมืองที่มีอุดมการณ์หาญกล้า มีโวหารอันแสนคมกริบ เขาจึงได้กลายเป็นที่นิยมในกลุ่มหัวก้าวหน้าโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นได้อย่างไม่ยากนัก อีกทั้งนโยบายที่ไม่เหมือนใครดังเช่น เสนอให้อเมริกันทุกคนมีสวัสดิการด้านสุขภาพ เพิ่มรายได้ขั้นต่ำเป็นชั่วโมงละ 15 เหรียญ ให้ทุกคนได้เรียนในระดับปริญญาตรีฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และต้องการเพิ่มภาษีโรงเรือน 77% กับผู้ที่มีทรัพย์สินเกินหนึ่งพันล้านเหรียญขึ้นไป!!! วุฒิสมาชิกคามาลา แฮริส นักการเมืองผิวสีที่มีบิดาเป็นชาวจาไมก้า และมารดาเป็นชาวอินเดีย ซึ่งเธอเป็นนักการเมืองหญิงดาวรุ่งหน้าใหม่ และถึงแม้ว่าเธอจะอยู่ในตำแหน่งวุฒิสมาชิกได้แค่เพียงสองปีก็ตาม แต่เนื่องจากเธอเป็นนักการเมืองที่มีฝีปากจัดจ้านและเป็นคนกล้าหาญ เธอได้ออกมาประกาศท้าทายว่าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับประธานาธิบดีทรัมป์ โดยก่อนหน้าที่เธอจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกเมื่อสองปีที่ผ่านมานี้ เธอเคยเป็นอัยการของรัฐแคลิฟอร์เนีย และการที่เธอจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยของคนผิวสี "Howard University" ก็นับได้ว่าฐานการเมืองที่ดีของเธอล้วนแล้วมาจากคนผิวสีแทบทั้งสิ้น อีกทั้งเธอยังจบทางด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียอีกด้วยและหากไม่เป็นนักศึกษาหัวกะทิโอกาสจะเข้าได้แสนจะยากเต็มที และเมื่อวันที่ 20 มกราคมนี้วุฒิสมาชิกแฮริสประกาศลงสนามแข่งขัน ณ เมืองโอคแลนด์ ใกล้ๆกับนครซานฟรานซิสโก ซึ่งได้สร้างความฮือฮาเพราะมีผู้เข้าไปร่วมฟังกว่าสองหมื่นคนจากทั่วสหรัฐอเมริกา และยังได้สร้างความงงงวยให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นอย่างมากเพราะเขาฉงนสงสัยว่า เหตุใดและทำไม?เธอจึงได้รับความนิยมสูงมากมายขนาดนั้น ทั้งนี้นโยบายของวุฒิสมาชิกแฮริสได้เสนอให้รัฐบาลจ่ายเงินพิเศษเดือนละห้าร้อยเหรียญแก่ครอบครัวหาเช้ากินค่ำ ให้สวัสดิการด้านสุขภาพต่ออเมริกันชนทุกคน และเธออีกนั่นแหละที่ได้ประกาศสนับสนุนวุฒิสมาชิกบารัก โอบามา ตอนที่ลงแข่งขันประธานาธิบดีเมื่อปี 2007 แทนที่จะสนับสนุนฮิลลารี คลินตัน!!! และถึงแม้ว่าประธานาธิบดีโอบามาจะวางตัวเป็นกลางในกลุ่มนักการเมืองทั้ง 24 คนของพรรคเดโมแครตที่มีเจตน์จำนงค์จะลงแข่งขันเป็นตัวแทนของพรรคก็ตาม แต่ดูๆไปแล้วเหมือนดั่งว่า ประธานาธิบดีโอบามายังติดหนี้บุญคุณที่จะต้องชดใช้จ่ายคืนให้แก่วุฒิสมาชิกคามาลา แฮริส ไม่น้อยเลยทีเดียว อนึ่งจากการหยั่งเสียงของซีเอ็นเอ็นที่เพิ่งเปิดเผยเมื่อวันอังคารที่เพิ่งผ่านมานี้ปรากฏว่า คะแนนนิยมของวุฒิสมาชิกคามาลา แฮริสพุ่งสูงขึ้นถึงหนึ่งเท่าตัวและเมื่อดูจากแนวโน้มแล้วคะแนนนิยมของเธอมาจากทุกเพศทุกวัย และหากว่าเธอได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต โอกาสที่เธอจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯก็ย่อมมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว!!! สำหรับนักการเมืองของพรรคเดโมแครตที่เพิ่งประกาศลงแข่งขันคนล่าสุดนี้ก็คือ "เบโต โอรอร์ค" อดีตสมาชิกผู้แทนราษฎรสามสมัยจากรัฐเท็กซัส โดยเขาผู้นี้เกือบจะเอาชนะวุฒิสมาชิกเท็ด ครูซในการแข่งขันเมื่อเร็วๆนี้ โดยเขาได้รับยอดเงินบริจาคสูงถึง 60 ล้านเหรียญ และได้กลายเป็นที่นิยมของคนอเมริกันในทันที สำหรับนโยบายหลักของเบโต โอรอร์ค ยังไม่เป็นที่เด่นชัด แต่เขาก็ได้ออกมาประกาศต่อต้านเกี่ยวกับนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ในการสร้างกำแพงอย่างแข็งขัน ทั้งๆที่รัฐเท็กซัสอยู่ชิดติดพรมแดนแม็กซิโกก็ตามที ส่วน "อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน" ในสมัยของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ก็ถือว่าเป็นนักการเมืองขั้นเทพที่เจนเวทีที่สุด โดยเขาวนเวียนอยู่ในแวดวงการเมืองสหรัฐฯติดต่อกันมานานกว่า 44 ปี อีกทั้งเขายังสามารถทำงานเข้าขาได้เป็นอย่างดีกับนักการเมืองทั้งสองพรรค สำหรับด้านการต่างประเทศนั้นยากที่ใครจะมีความเชี่ยวชาญได้มากไปกว่าโจ ไบเดน และถึงแม้ว่าเขาจะมีอายุ 76 ปีแล้วก็ตาม แต่คะแนนนิยมของเขามีค่อนข้างสูง และหากเขาเอ่ยปากประกาศลงเลือกตั้งเมื่อใดก็ตามเป็นที่คาดกันว่า คะแนนนิยมของเขาจะพุ่งขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในทันที ส่วน"วุฒิสมาชิกอลิซาเบท วอร์เรน" วัย 69 ปีจากรัฐแมสซาชูเซ็ตส์ที่อยู่ในตำแหน่งวุฒิสมาชิกมาแล้วห้าปีกว่าๆ นับว่าเธอเป็นนักการเมืองที่ประธานาธิบดีทรัมป์เกรงกลัวมากที่สุด เพราะเธอเป็นนักโต้วาทีที่หาตัวจับยากและเคยครองตำแหน่งแชมป์โต้วาทีตั้งแต่สมัยเรียนระดับมัธยม อีกทั้งเธอยังเป็นอาจารย์สอนกฎหมายในมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯเช่น ฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยเท็กซัส และมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียเป็นต้น โดยวอร์เรนแสดงตนวางตัวเป็นศัตรูกับประธานาธิบดีทรัมป์อย่างชัดเจน ส่วนนโยบายหลักของเธอก็คือการเข้าไปเป็นปากเป็นเสียงให้แก่คนชั้นกลาง อย่างไรก็ตามนักการเมืองทั้งห้าคนนี้ต่างเขียนหนังสือออกมาโชว์สายตาประชาชนอย่างน้อยหนึ่งเล่มถือว่าเป็นการแนะนำตัวเองและเสนอนโยบายหรือจุดยืนที่ถือว่าเป็นแบบฉบับของนักการเมืองสหรัฐฯที่นักการเมืองไทยทั้งหลายควรจะนำไปเป็นแบบอย่างได้ไม่ใช่เพียงพิมพ์กระดาษหนึ่งแผ่นโดยมีภาพประกอบหนึ่งภาพแล้วเอาไปผูกติดกับเสาไฟฟ้าตามข้างถนน กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเมื่อมองจากภาพรวมของนักการเมืองตัวเก็งมาแรงทั้งห้าคนของพรรคเดโมแครตแล้ว ทุกๆท่านล้วนแล้วแต่เป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพสูง มากด้วยประสบการณ์ และต่างก็เป็นนักโต้วาทีที่มีฝีปากที่มีสำนวนโวหารคมกริบอย่างหาตัวจับยากด้วยกันทุกๆคน และพวกเขาคงจะไม่สร้างความผิดหวังให้กับสมาชิกของพรรคเดโมแครตหากว่าหนึ่งในห้าคนนี้ได้รับเลือกให้เข้าไปเป็นตัวแทนของพรรค ซึ่งคงจะสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้แก่คนอเมริกันและผู้คนทั่วทุกมุมโลกในการเลือกตั้งสมัยหน้าละครับ