"กิตติรัตน์" นำทีมเยือน"ไข่มุกอันดามัน" โชว์ หลักบริหารมืออาชีพ ตวงเงินจากท่องเที่ยว ขณะที่ "วรชัย เหมะ" ชวนชาวภูเก็ต"ใช้ปลายปากกา ไล่ปลายกระบอกปืน" ด้าน! ตัวแทนรถตู้ เชื่อ! เพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแน่ พร้อมฝากรื้อกฎหมาย คสช.ที่ขวางทางทำมาหากิน พรรคเพื่อไทย นำโดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรค, นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคในฐานะผู้ช่วยหาเสียง พร้อมด้วยนายสุชาติ ลายน้ำเงิน ผู้สมัครและอดีต ส.ส.ลพบุรี และนายวรชัย เหมะ ผู้สมัครและอดีต ส.ส.สมุทรปราการของพรรค ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ช่วยนายสนธยา หลาวหล้าง ผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต เขต 2 หาเสียง โดยมีการรับฟังปัญหาข้อเสนอแนะ ก่อนเสนอโยบายพรรคต่อประชาชนและผู้สนับสนุนพรรค ที่โรงแรม เอทู รีสอร์ท ในตัวเมืองภูเก็ต และเปิดการปราศรัยย่อยที่สวนสาธารณะลานโลมา หาดป่าตอง โดยนายกิตติรัตน์ ได้ย้ำถึงหลักการบริหารระบบเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพของพรรค โดยเทียบ 4 มิติการขับเคลื่อนกับรถยนต์ที่มี 4 ล้อ ซึ่งต้องสอดประสานกันจึงจะเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ประกอบด้วย 1.)​การส่งออกและการท่องเที่ยว ที่จะดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศ 2.)​การลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งจะเกิดการสร้างงานและอื่นๆ 3.)​กำลังซื้อในประเทศ ที่จะนำสู่การหมุนเงินเป็นวงจรในระบบเศรษฐกิจและ 4.คือการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่ต้องคุ้มค่าเหมาะสมและได้ประโยชน์สูงสุด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มองว่ารัฐบาล คสช.ใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า ดูจากการซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหาร หรือแจกเงินผ่านบัตรโครงการรัฐ ที่เป็นตัวผ่านสู่เจ้าสัวใหญ่เท่านั้น ไม่ได้หมุนเวียนในวงจรเศรษฐกิจที่จะกระตุ้นภาพรวมหรือหนุนเสริมกับอีก 3 ขาได้และเสียดายโอกาสคนไทยที่โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงของพรรค ต้องยุติไปเพราะคำตัดสินจากวิสัยทัศน์เกี่ยวกับ"ทางลูกรัง"ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอื่นๆจากตัวโครงการหายไป แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้เจรจาการค้าเสรี เพื่อขจัดกำแพงภาษี เอื้อการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ต่อเนื่องหรือแล้วเสร็จในการเจรจากับทุกประเทศคู่ค้า เพราะวิกฤติการเมืองที่นำสู่การรัฐประหารในที่สุด พร้อมกันนี้ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยเคยดำเนินการและมีชุดนโยบายมุ่งสร้างรายได้ให้ประชาชน เพื่อให้มีกำลังจับจ่ายใช้สอย กระตุ้นวงจรเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญเกษตรกร ผู้ประกอบการต่างๆตลอดจนการขึ้นค่าแรงให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ เป็นการเพิ่มกำลังซื้อในภาคแรงงานและภาคเกษตรกรรม ซึ่งเคยทำสำเร็จมาแล้ว นายกิตติรัตน์ ยังอธิบายเพิ่มเกี่ยวกับวงจรเศรษฐกิจได้อย่างเห็นภาพว่า หากเจ้าสัวได้เงินมา 100 บาท ก็จะเก็บไม่ได้จับจ่ายใช้สอยหรือใช้ก็ไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมมากนักเพราะคนรวยมีจำนวนน้อย ขณะที่คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกร เมื่อได้เงิน 100 บาท ก็จะจับจ่ายใช้สอยทันที ทำให้วงจรเศรษฐกิจเคลื่อนไป ภาครัฐก็เก็บภาษีได้ทุกรอบการจับจ่าย ทำให้เงิน 100 กลายเป็น 500 หรือ 1,000 บาทได้ผ่านกลไกตลาด การหมุนเวียนของเงินและระบบภาษี ซึ่งเป็นหลักคิดสำคัญของพรรคเพื่อไทย ส่วนนายวรชัย ปราศรัยตอนหนึ่งยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยเป็นหัวหอกนำฝ่ายประชาธิปไตย หยุดการสืบทอดอำนาจของ คสช.ด้วยการเลือกตั้ง หรือ"ใช้ปลายปากกา ขับไล่ปลายกระบอกปืน" ซึ่งตลอด 4-5 ปี คสช.และเครือข่าย ได้ทำให้ประเทศมีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก เศรษฐกิจตกต่ำทุกด้าน ชาวบ้านได้เพียงรับแจกบัตรคนจนช่วงใกล้เลือกตั้ง, ไม่มีการลงทุนหรือเจรจาการค้าจากต่างชาติ เพราะไม่ได้รับการยอมรับเนื่องจากรัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตย และเมื่อไม่สามารถหาเงินเข้าประเทศได้ ก็รีดภาษีและกู้เงินสร้างหนี้จำนวนมหาศาล นายวรชัย ระบุด้วยว่า นอกจากไร้ความสามารถบริหารประเทศแล้ว รัฐบาล คสช.ยังทำลายการท่องเที่ยวให้ย่ำแย่ลงไปอีก เพราะคำพูดที่ไม่รับผิดชอบของผู้มีอำนาจ ทั้งใช้อำนาจออกกฎหมายและคำสั่งต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจท่องเที่ยว ประมง และการทำมาหากินของประชาชนทุกสาขาอาชีพ ซึ่งจะต้องยกเลิกหรือแก้ไขหลังการเลือกตั้ง พร้อมขอให้ชาวภูเก็ตเขต 2 ส่งผู้แทนพรรคเพื่อไทยเข้าไปทำหน้าที่ในสภา เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยและฟื้นฟูประเทศ คืนความกินดีอยู่ดีมาสู่คนไทย ขณะที่ชาวภูเก็ตเขต 2 ต่างสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจโดยเฉพาะการท่องเที่ยว รวมถึงระเบียบและกฎหมายต่างๆของ คสช.ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากิน โดยมีตัวแทนผู้ประกอบการรถตู้รับจ้าง ต้องการให้ยกเลิกการกำหนดความเร็วที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเพิ่มเป็น 110 หรือ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้สอดคล้องความเป็นจริงของธุรกิจรถตู้กว่าหมื่นคันในภูเก็ต และเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งอย่างแน่นอนจึงฝากให้ผลักดันประเด็นนี้ด้วย ซึ่งนายกิตติรัตน์ ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า การห้ามขับเร็วเกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพิ่งมาใช้ในยุค คสช.เพราะการออกนโยบายไม่ได้รับฟังเสียงชาวบ้าน พร้อมเปรียบ สนช.เป็น"สภาฝักถั่ว"ผ่านกฎหมายต่างๆอย่างง่ายดาย โดยไร้เสียงค้าน มีจำนวนมากไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและกระทบกับการทำมาหากินของสุริตชน ต่างจากพรรคเพื่อไทยที่สร้างนโยบายจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน จึงสอดคล้องกับความต้องการและความเป็นจริงในแต่ละด้าน โดยพร้อมรับข้อเสนอผู้ประกอบการรถตู้รับจ้างไปผลักดัน รวมถึงมีแนวคิดขยายเวลาและแบ่งโซนการเปิด-ปิดสถานประกอบการด้านการท่องเที่ยวและร้านค้าต่างๆด้วย โดยการเลือกตั้งรอบนี้จังหวัดภูเก็ต มี 2 เขตเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัคร 1 คนลงเขต 2 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่อำเภอกะทู้, อำเภอถลางและบางส่วนของอำเภอเมืองภูเก็ต เฉพาะตำบลเกาะแก้ว ตำบลราไวย์ และตำบลกะรน