สมาคมค้าปลีกฯเสนอ”ทอท.”ล้มประมูลสัมปทานดิวตี้ฟรี 4 สนามบินรายเดียว ระบุผูกขาด แนะแยก เป็น3 ส่วน เตือนหากทีโออาร์ดิวตี้ฟรีไม่โปร่งใสพร้อมรวมต่างชาติประท้วง ระบุรัฐบาลชุดใหม่ต้องทำให้โปร่งใส นายวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้แถลงข่าวและยืนยันว่าการเปิดประมูล ในการให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร หรือดิวตี้ฟรี ภายในท่าอากาศยานไทยเป็นไปอย่างเป็นธรรมและรอบคอบ โดยควบรวม 4 สนามบินเป็นของผู้ประกอบการเดียว แม้ขณะนี้ ทอท.ได้เลื่อนการขายซองประมูลออกไปจากกำหนดวันที่ 19 มี.ค.-1 เม.ย.62 แต่สมาคมฯยืนยันที่จะเรียกร้องให้ล้มการประมูลดังกล่าว เพราะเป็นการประมูลหาผู้ประกอบการเพียงรายเดียว ซึ่งถือเป็นการผูกขาด ขณะที่สนามบินสุวรรณภูมิมีผู้โดยสารแต่ละปีสูงถึง 62.8 ล้านคน และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นตามการเติบโตของการท่องเที่ยว ทั้งนี้สมาคมฯ มีข้อเสนอแนะให้แยกทีโออาร์ในส่วนของสิทธิบริหารร้านดิวตี้ฟรีออกเป็น 3 ฉบับได้แก่1.ร้านดิวตี้ฟรีในสนามสุวรรณภูมิ ให้เป็นสัมปทานหลายรายการตามหมวดหมู่สินค้า 2.ร้านดิวตี้ฟรีในสนามบินภูเก็ตให้เป็นสัมปทานรายเดียว 3.ร้านดิวตี้ฟรึในสนามบินเชียงใหม่และหาดใหญ่รวมกันเป็น 1 ฉบับ ที่ผ่านมามีการประมูลดิวตี้ฟรีที่สนามอู่ตะเภาพื้นที่ 600 ตารางเมตรยังมีผู้เข้าประมูลถึง 4 ราย ไม่เข้าใจว่านำทั้ง 4 สนามบินมารวมกันทำไม “การจัดสรรสัมปทานร้านดิวตี้ฟรีหลายรายในสนามบินสุวรรณภูมิ โดยแบ่งตามหมวดหมู่สินค้า เพื่อให้ตรงกับหลักสากลและประโยชน์สูงสุด โดยร้านดิวตี้ฟรีในต่างประเทศให้ผลตอบแทนสูง 30-40% ต่างจากร้านดิวตี้ฟรีของไทยให้ผลตอบแทนเพียง 15-19%” ส่วนการอ้างให้สัมปทานรายเดียวเพราะการกระจายตัวของผู้โดยสารมีความไม่แน่นอนนั้นไม่เป็นความจริง เพราะการให้สัมปทานตามหมวดหมู่สินค้าสามารถจัดให้กระจาย 2-3 จุดในสนามบิน มีทั้งเครื่องสำอาง กลุ่มไวน์ สุรา ยาสูบ รวมทั้งสินค้าหมวดแฟชั่น Luxury ที่ทอท.สามารถวางแผนจัดสรรพื้นที่ได้ ที่ผ่านมาสนามบินในเอเชียมีผู้ประกอบการร้านค้าปลอดภาษีจำนวนมากกว่า 1 ราย ได้แก่ เกาหลี,ญี่ปุ่น,ฮ่องกง และสิงคโปร์มีจำนวน 10 ,10,7 และ 5 รายตามลำดับ มีระยะเวลารับสัมปทานเพียง 5-7 ปี นอกจากนี้สมาคมยังมีข้อเสนอแนะให้ตรวจสอบสัมปทานทั้งร้านดิวตึ้ฟรีและร้านค้าเชิงพาณิชย์ว่าอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ร่วมทุนฉบับใหม่หรือไม่ โดยให้สอบถามสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) คณะอนุกรรมการด้านกฎหมายภายใต้คณะกรรมการนโยบายการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ต้องการให้ ทอท.ใช้การประเมินสำหรับการประมูล 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ประเมินข้อเสนอด้านเทคนิค ถ้าผ่านได้จึงจะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 ที่ใช้ผลตอบแทนทางการเงินเป็นการตัดสินสุดท้าย รวมทั้ง ทอท.ควรจะเปิดเผยข้อมูลผู้โดยสารและยอดขายตามเชื้อชาติและหมวดหมู่สินค้า ดังเช่นสนามบินฮ่องกง อินชอนและชางงี เพื่อการแข่งขันที่เป็นธรรม โดยรายเดิมที่มีข้อมูลจะได้เปรียบกว่า อีกทั้งควรมีระยะเวลาการทำแผนเข้าร่วมประมูลอย่างน้อย 60-90 วัน จากทีโออาร์ที่ออกมาให้เวลาเพียง 30 วัน เพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่ นายวรวุฒิกล่าวอีกว่า มีต่างชาติหลายราย สนใจเข้าประมูลในไทย แต่รูปแบบถ้าเป็นอย่างนี้ หลายชาติเตรียมรวมตัวประท้วง และถ้าเขาฟ้องชื่อเสียงของประเทศไทยจะเสียหาย ไทยจะมีภาพทุจริตคอร์รัปชั่น และฝากถึงพรรคการเมืองว่า จะยอมให้การประมูลเป็นผูกขาดรายเดียว ถ้ารัฐบาลนี้ปล่อยให้เกิดการผูกขาด และรัฐบาลใหม่เมื่อเข้ามาทำงานจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ สำหรับประเด็นที่ ทอท.ระบุว่า กิจการดิวตี้ฟรี และกิจการพื้นที่เชิงพาณิช ไม่ใช่กิจการเกี่ยวเนื่องที่ไม่เข้าข่ายพ.ร.บ.ร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 นั้น สมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้หยิบยกคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่ให้การประกอบกิจการลานจอดรถยนต์ ณ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และสัญญาเช่าพื้นที่เป็นลักษณะให้บริการสาธารณะ จึงเข้าข่าย พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ. และพระราชกฤษฎีกา กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) พ.ศ.2545 โดยสมาคมฯมีมุมมองว่า พื้นที่ดิวตี้ฟรี พื้นที่เชิงพาณิชย์ น่าจะรวมถึงอาคารจอดรถผู้โดยสาร ต้องเข้าเกณฑ์ พ.ร.บ.ร่วมทุนภาคัฐและเอกชน เพราะแม้แต่สนามบินขนาดเล็กในต่างประเทศยังต้องมีพื้นที่ดิวตี้ฟรี และพื้นที่เชิงพาณิชย์ให้นักท่องเที่ยวด้วย อีกทั้งรายได้จากกิจการที่ไม่เกี่ยวกับการบินของ ทอท.มีสัดส่วน 44% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งต่ำสุดในบรรดาสนามบินนานาติในเอเชียอาทิ สนามบินฮาเนดะ มีสัดส่วนรายได้ Non-Aero ถึง 73% ประกอบองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)ระบุไว้ชัดเจนว่า รายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบินเป็นปัจจัยหลักการบริหารการเงินของสนามบินให้อยู่รอด