ทอท.ชะลอประมูลดิวตี้ฟรีออกไปอีก 2 สัปดาห์ พร้อมชี้แจงข้อสงสัยในทุกประเด็น ยันปฏิบัติตามขั้นตอนโปร่งใส ตั้งเป้าหมายผู้ชนะประมูลเดือนก.ย.62 เผยให้ทุกฝ่ายแสดงความเห็นหักล้าง ย้ำพิจารณารอบด้านยันการรวมสัญญาไม่แยกสินค้าคุ้มค่ากว่า นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท.เปิดเผยว่า บริษัทชะลอการเปิดขายซองเอกสารงานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดภาษี(ดิวตี้ฟรี)ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ,ท่าอากาศยานภูเก็ต,ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ รวมถึงการให้สิทธิประกอบกิจการเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ออกไปก่อน จากกำหนดการเดิมที่จะเปิดขายซองระหว่างวันที่ 19 มี.ค.-1 เม.ย.62 ทั้งนี้หลังจากที่ประกาศหลักเกณฑ์และรายละเอียดทั้ง 2 โครงการออกมาแล้ว เกิดกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์กังวลว่าอาจเกิดการผูกขาด ดังนั้น ทอท.จะชี้แจงจนกระทั่งหมดข้อสงสัย อย่างไรก็ตาม ทอท.มั่นใจว่าการดำเนินการถูกต้องตามขั้นตอน โดยหลังจากวันนี้ได้แถลงกับสื่อแล้ว ทอท.จะรอฟังกระแสสังคมว่าจะมีฝ่ายใดออกมาให้เหตุผลหักล้างได้ ก่อนที่จะเดินหน้าดำเนินการเปิดประมูลตามแผนงาน มั่นใจว่าจะเคลียร์ข้อสงสัยทุกอย่างได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ จากนั้นคาดว่าจะดำเนินการประมูลและได้ผู้ชนะทั้ง 2โครงการภายในเดือน ก.ย.62 สำหรับประเด็นที่นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ระบุว่าโครงการดังกล่าวอาจเข้าข่าย พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 หรือไม่นั้น เมื่อพิจารณาแล้วกิจกรรมดิวตี้ฟรี และการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ ไม่จัดอยู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ อีกทั้งไม่ได้เป็นกิจการที่เกี่ยวเนื่อง นอกจากนี้ ได้มีตัวแทนอื่น ได้แก่ อัยการ เป็นต้นเข้ามานั่งเป็นกรรมการจากหน่วยงานกลางในการพิจารณาโครงการดังกล่าวแล้ว ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี โดย ทอท.กำหนดรูปแบบของการให้สิทธิประกอบกิจการโครงการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร และการบริหารโครงการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ที่เหมาะสมที่สุดและเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายในระยะยาว คือ การให้สิทธิสัมปทานเพียงรายเดียว ส่วนการแยกประมูลตามหมวดสินค้าจะไม่ส่งผลดีต่อองค์กรและประเทศชาติโดยรวม โดยในส่วนของกิจการร้านค้าปลอดอากรไม่เหมือนการค้าปลีกโดยเฉพาะเรื่องสถานที่ห้างสรรพสินค้ามีประตูอยู่ที่เดิมตลอดไป แต่ท่าอากาศยานมี contact gate ที่เปรียบเสมือนประตู และแต่ละ contact gate สามารถรองรับเครื่องบินได้ในแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน ดังนั้น การไหลเวียนของผู้โดยสารในท่าอากาศยานจึงแตกต่างจากห้างสรรพสินค้า โดยขึ้นอยู่กับประเภทเครื่องบินที่สายการบินนำมาให้บริการ ดังนั้นจึงมีความสุ่มเสี่ยงที่หากมีการแยกสัญญาแล้วจะทำให้ผู้ประกอบการบางรายมีปัญหาเมื่อปริมาณและการไหลเวียนของผู้โดยสารมีการเปลี่ยนแปลงไป ขณะเดียวกันยังจะทำให้ภายในสนามบินเดียวกัน มีความแตกต่างให้เห็นทั้งในด้านโครงการส่งเสริมการขาย และมาตรฐานการให้บริการ ซึ่งจะสร้างการเปรียบเทียบและความสับสนให้กับผู้โดยสาร อีกทั้งยังนำมาซึ่งการผูกขาดในรายสินค้านั้นๆและไม่ได้เป็นการส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด แต่จะแสดงถึงความไม่มีมาตรฐานของสนามบินของประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ ทอท.ได้เปิดเสรีเคาน์เตอร์ส่งมอบสินค้าปลอดอากร (Duty Free Pick-up Counter) ถือเป็นการยุติการผูกขาดธุรกิจร้านค้าปลอดอากร โดยสามารถเห็นตัวอย่างได้จากการเปิดเสรี Pick-up Counter ที่ท่าอากาศยานภูเก็ต ทำให้มีผู้ยื่นความจำนงประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรในเมืองนับสิบราย ซึ่ง ทอท.คาดว่าหลังจากมีการเปิดเสรี Pick-up Counter ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันในธุรกิจร้านค้าปลอดอากรที่สำคัญของประเทศไทย โดยคณะกรรมการบริษัทได้มีมติเมื่อ 20 ก.พ.62 แต่ยังไม่ได้กำหนดรูปแบบ ส่วนการให้สิทธิประกอบกิจการทั้ง 4 ท่าอากาศยานประกอบด้วยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ,ท่าอากาศยานเชียงใหม่,ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ รวมอยู่ในสัญญาเดียว เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ท่าอากาศยานที่มียอดขายน้อยเช่น ท่าอากาศยานเชียงใหม่ คิดเป็น 4-5%ของยอดขายและท่าอากาศยานหาดใหญ่ คิดเป็น 0.04%ของยอดขาย ประสบปัญหาการขาดทุน แต่สามารถยังดำเนินกิจการอยู่ได้ เนื่องจากมีการถัวกำไรจากท่าอากาศยานใหญ่ คือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นอกจากนั้นการเปิดเสรีเคาน์เตอร์ส่งมอบสินค้าปลอดอากร (Duty Free Pick-up Counter) ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต ทำให้ร้านดิวตี้ฟรีในท่าอากาศยานภูเก็ตเริ่มประสบปัญหาการขาดทุนจากการแข่งขันของร้านค้าปลอดอากรในเมือง(Downtown Duty Free)แสดงให้เห็นว่าความแข็งแรงและศักยภาพของผู้ประกอบการจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งจากผลการศึกษาของที่ปรึกษาชี้ชัดว่า การรวมสัญญาของโครงการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรทั้ง 4 ท่าอากาศยาน จะทำให้ผู้ชนะการประมูลมีอำนาจต่อรองกับผู้แทนจำหน่าย (Supplier)ของสินค้า (Brand Name) ชั้นนำได้มาก ซึ่งธุรกิจร้านค้าปลอดอากรเป็นธุรกิจที่ต้องแข่งขันกับผู้ประกอบการอื่นในระดับโลก ทั้งนี้การจะทำให้ท่าอากาศยานภูมิภาคมีสินค้า Brand Name ให้บริการผู้โดยสารเหมือนที่ให้บริการในท่าอากาศยานใหญ่ ทอท.จำเป็นต้องคัดเลือกให้ได้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพมากที่สุดเพื่อให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ หากท่าอากาศยานของไทยไม่สามารถแข่งขันได้ จะส่งผลเสียต่อประเทศชาติโดยรวมต่อไป โดยที่ผ่านมา ทอท.ได้ดำเนินการจัดทำข้อกำหนดและรายละเอียดของทั้ง 2โครงการตามขั้นตอนอย่างถูกต้องในทุกกระบวนการ คำนึงประโยชน์สูงสุดของ ทอท.และประเทศที่จะได้รับเป็นสำคัญ รวมถึงการที่จะดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มี.ค.62 ที่กำหนดให้มีคนนอกร่วมอยู่ในกระบวนการด้วย เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างโปร่งใส สามารถตรวจสอบและชี้แจงต่อสาธารณชนได้