คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ/ดร. วิวัฒน์  เศรษฐช่วย       ให้ขาวสะอาดผุดผ่องปราศจากมลทินใช่หรือไม่?   ในช่วงสองปีกว่าๆนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว ดูเหมือนว่าสหรัฐอเมริกาเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายทางการเมืองทั้งภายในประเทศและต่างประเทศซ้ำซากครั้งแล้วครั้งเล่า แถมในรัฐบาลยังมีเรื่องทะเลาะวิวาทขัดแย้งกันตลอดเวลาอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน   อนึ่งการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้ทวิตเตอร์เป็นสื่อในการเต้าข่าวปั้นเรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้างเพื่อให้ตนเป็นจุดสนใจอยู่ตลอดเวลานั้น ก็ช่างแสนแปลกประหลาดสิ้นดี         จากสถิติของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ปรากฏว่า "ตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ก้าวเข้ามาบริหารบ้านเมือง เขากล่าวถ้อยคำโป้ปดมดเท็จไปแล้วกว่าแปดพันครั้ง โดยเฉลี่ยแล้วตกวันละแปดครั้ง โดยที่เขามิได้สนใจใยดีต่อคำวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใด"          ทั้งนี้ถือได้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์เป็นบุคคลที่มีจิตวิทยาสูงในการสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้แก่ผู้คน ซึ่งได้สร้างความพึงพอใจให้กับฐานการเมืองของเขาที่เป็นปีกขวาและส่วนใหญ่ค่อนข้างด้อยการศึกษา!!! แต่อย่างไรก็ตามขณะนี้ปรากฏว่า "จอห์น คาซิก" ผู้ว่าการรัฐโอไฮโอที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯในรัฐนี้มาแล้วกว่าแปดปี และเคยเป็นสมาชิกผู้แทนฯมาแล้ว 18  ปี ซึ่งเขาเป็นเพียงคนเดียวที่กล้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีทรัมป์อย่างตรงไปตรงมา  โดยเมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่เพิ่งผ่านมานี้ เขาได้เดินทางไปออกรายการโทรทัศน์ช่องซีเอ็นเอ็นประกาศอ้อนวอนขอให้เพื่อนสมาชิกพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาออกมาต่อต้านการประกาศภาวะฉุกเฉินของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการจะผันเงินจากกระทรวงคลังและงบการทหารไปสร้างกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐฯกับแม็กซิโก!!!          ในรายการวันนั้นผู้ว่าฯคาซิกชี้ว่า บรรดาเพื่อนๆสมาชิกของพรรครีพับลิกันทั้งหมดที่มีหน้าที่อยู่ในวุฒิสภาสมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีหลักการและอุดมการณ์อันแน่วแน่ทำนองเดียวกันกับสมาชิกผู้แทนราษฎรของพรรครีพับลิกัน 13 คน ที่ออกมาคัดค้านการประกาศภาวะฉุกเฉินของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยยึดเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญอยู่เหนือความจงรักภักดีที่มีแบบผิดๆต่อประธานาธิบดีทรัมป์ อีกทั้งผู้ว่าฯคาซิคยังได้อธิบายต่อไปว่า"วุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันต้องพร้อมใจกันลุกขึ้นมาต่อต้านประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญเอาไว้และไม่สมควรที่จะโหวตไปตามน้ำ โดยเขาได้กล่าวอีกว่าหากร่วมกันกระทำดั่งเช่นที่เขากล่าวมานี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในขณะนี้เพียงอย่างเดียวแต่เพื่ออนาคตภายภาคหน้าของประเทศชาติอีกด้วย" ส่วนการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้คำว่า “ฉุกเฉิน” เพื่อความสะดวกทางการเมืองนั้น ผู้ว่าฯคาซิกชี้ว่า ไม่เป็นไปผ่านตามกระบวนการ ที่ถือว่าผิดต่อหลักการ โดยอาจจะทำให้ในอนาคตมีประธานาธิบดีคนอื่นๆนำเอาแนวทางที่ไม่ถูกต้องเช่นนี้มาใช้อีกก็เป็นไปได้!!!   โดยเมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมานี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาเปิดเผยงบประมาณของปี 2020 โดยเขาของบประมาณจากสภาคองเกรส 8.6 พันล้านเหรียญ เพื่อนำไปสร้างกำแพงทั้งๆที่เขาแพ้การโหวตในสภาคองเกรสเมื่อสามสัปดาห์ก่อนหน้านี้อย่างยับเยิน สืบเนื่องมาจากการที่ทรัมป์ของบไปยังสภาคองเกรส 5.7 พันล้านเหรียญ แต่สภาคองเกรสไม่เห็นด้วย           เท่ากับว่าประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการจะท้าทายสภาคองเกรสอีกวาระหนึ่ง เพื่อต้องการและหวังจะเอาชนะทางการเมืองเพียงอย่างเดียว แต่อย่างไรก็ตามนักการเมืองค่ายพรรคเดโมแครตก็ได้ออกมาแสดงจุดยืนต่อต้านอย่างทันทีทันควัน            และที่เลวร้ายไปกว่านั้นเมื่อวันจันทร์นี้ "แนนซี เพโลซี"ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ว่า “ดิฉันไม่อยากจะดำเนินการปลดประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง เพราะเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ และยังจะสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นภายในประเทศอีกด้วย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ดิฉันอยากจะพูดก็คือ โดนัลด์ ทรัมป์ไม่มีความเหมาะสมในตำแหน่งประธานาธิบดีแต่อย่างใด” เป็นที่น่าสังเกตอีกเช่นกันว่า ความเห็นของคนอเมริกันทั่วๆไปต่างคิดว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคนไม่รอบคอบ และไม่สามารถควบคุมสติอารมณ์ได้ โดยสมาชิกพรรครีพับลิกันถึงหกสิบหกเปอร์เซ็นต์คิดว่า ทรัมป์เป็นคนบ้าบิ่น ดื้อดึงหัวรั้น  ขาดสมบัติผู้ดี และไม่ยอมเปิดใจรับฟังผู้อื่นแม้กระทั่งคณะที่ปรึกษาของเขาเอง!!!        ในแง่เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาประธานาธิบดีทรัมป์มักจะอ้างและโอ้อวดอยู่ตลอดเวลาว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาในขณะนี้ สืบเนื่องมาจากผลงานของเขาเอง แต่เขาลืมไปว่าประธานาธิบดีโอบามาต่างหากที่เป็นผู้วางรากฐานให้มั่นคง จึงเป็นที่มาในการสร้างงานให้แก่ผู้คนเพิ่มขึ้นติดต่อกันมาถึง 101 เดือน         คราวนี้ลองหันมาดูจำนวนของคนที่มีงานทำใหม่ โดยในรอบสามเดือนก่อนหน้าเดือนกุมภาพันธ์นี้ มีจำนวนของผู้ที่มีงานทำเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 180,000 คน แต่ปรากฏว่าเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้มีจำนวนคนที่มีงานทำเพิ่มขึ้นพียงสองหมื่นคน ซึ่งถือเป็นสัญญาณอันตรายในแง่เศรษฐกิจของสหรัฐฯไม่น้อยเลยทีเดียว         อีกทั้งประธานาธิบดีทรัมป์มักจะโอ้อวดว่าเขาประสบผลสำเร็จในการบริหารประเทศดีกว่าประธานาธิบดีโอบามา แต่หากเราลองเปรียบเทียบการเก็บสถิติของสำนักหยั่งเสียง FiveThirtyEight ในช่วง 741 วันที่ประธานาธิบดีทั้งสองคนนี้อยู่ในตำแหน่ง โดยเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2011 ซึ่งเป็นยุคของประธานาธิบดีบารัก โอบามา และในวันที่ 30 มกราคม 2019 ยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ ปรากฏว่าประธานาธิบดีโอบามาได้รับคะแนนนิยมอยู่ที่ 50.2% แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเพียง 39.6%        กรณีเรื่องการเหยียดสีผิวของประธานาธิบดีทรัมป์ก็กำลังกลายเป็นที่โจษจันเพิ่มมากขึ้นในขณะนี้ โดยสมาชิกผู้แทนราษฎรเอล็กซานเดรีย โอซิโนคอเตสดารา นักการเมืองสาวยอดนิยมหน้าใหม่ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 นาที เมื่อวันที่ 6 มกราคมนี้ว่า "ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นพวกเหยียดสีผิว" ตามมาด้วย"วุฒิสมาชิกเบอร์นี แซนเดอร์ส" ที่เห็นด้วยว่าประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคนเหยียดสีผิว แม้กระทั่ง"ไมเคิล โคเฮน" อดีตทนายความส่วนตัวของประธานาธิบดีทรัมป์นานกว่าสิบปีก็ยังได้ให้การต่อคณะกรรมมาธิการตรวจสอบของสภาผู้แทนฯเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคนเหยียดสีผิว          การประกาศเปิดสงครามด้านเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯกับจีนนั้น ปรากฏว่าต่างฝ่ายต่างเสียผลประโยชน์และยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ เทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าด้านการเกษตร ดังเช่น ในช่วงสิบเดือนแรกของปี 2018 สินค้าเกษตรที่ส่งไปยังจีนลดจำนวนลงถึง 42%          อีกทั้งผลกำไรของบริษัทรถยนต์สามยักษ์ใหญ่คือ General Motors Co, Ford Motor Co และ Fiat Chrysler Automobiles ต่างก็มียอดผลกำไรน้อยลงบริษัทละกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญ         กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเท่าที่ผ่านมาการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์พยายามคุยโม้โอ้อวดในทุกๆเรื่องก็เพื่อพยายามกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง อีกทั้งการที่เขาก้มหน้าก้มตาโกหกหน้าตายอย่างไม่อายก็เพราะต้องการจะฟอกความผิดของตนเองให้กลับมาขาวสะอาดปราศจากมลทิน แต่การที่เขาทำเยี่ยงนี้ ดูๆไปแล้วย่อมไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด และอาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้ผู้ว่าฯจอห์น คาซิก ออกมาประกาศท้าทายที่จะลงแข่งขันเพื่อเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งปี 2020 ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงละครับ