“คาทูน นาที” โลจิสติกส์ยักษ์ใหญ่สัญชาติเบลเยียม ชี้เศรษฐกิจขนส่งไทยขยายตัวต่อเนื่อง ทุ่มงบการลงทุนกว่า 450 ล้านบาท เพิ่มพื้นที่คลังสินค้ามาบตาพุด รับนโยบายอีอีซี พร้อมตั้งเป้าปี 2565 สร้างรายได้กว่า 2,000 ล้านบาท นายเฟอร์นานด์ ฮัทส์ ประธานกลุ่ม คาทูน นาที เปิดเผยว่า คาทูน นาที ถือเป็นบริษัทผู้นำทางด้านโลจิสติกส์ที่มีบริการอย่างครบวงจรระดับโลก จากประเทศเบลเยียม ที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 165 ปี และในปัจจุบันมีเครือข่ายให้บริการมากกว่า 165 แห่งครอบคลุมทุกทวีปทั่วโลก ทั้ง ทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปอเมริกาใต้ กลุ่มยุโรป กลุ่มยุโรปตะวันตก กลุ่มตะวันออกกลาง และแอฟริกา รวมถึงกลุ่มเอเชีย ได้แก่ ประเทศเวียดนาม ประเทศสิงคโปร์ และประเทศไทย สำหรับในประเทศไทย บริษัท ได้เข้ามาลงทุนด้านโลจิสติกส์นานถึง 20 ปี ภายใต้ชื่อ บริษัท คาทูน นาที (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท คาทูน นาที เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยงบการลงทุนรวมกว่า 9,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพในพื้นที่ของประเทศไทย ทั้งด้านระบบการขนส่งภายในประเทศ และการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อไปสู่ประเทศต่างๆ ในกลุ่มประเทศ CLMV จึงได้เปิดให้บริการด้านโลจิสติกส์ ภายใต้แนวคิด “โลจิสติกส์ โซลูชั่น” ทั้ง คลังสินค้า ในแบบ Ready Build Warehouse และ Built to Suit ที่ใช้ระบบการออกแบบและการดำเนินงานตามมาตรฐานของบริษัท รวมถึงบริการคัดแยกและบรรจุผลิตภัณฑ์ (Packaging) จำนวนทั้งสิ้น 5 แห่ง รวมพื้นที่ทั้งหมด 400,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็น กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และสินค้าอุปโภคบริโภค ณ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง จำนวน 2 แห่ง กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีชนิดพิเศษ บริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยองจำนวน 2 แห่ง ล่าสุด บริษัทฯ ได้ทุ่มงบประมาณการลงทุนกว่า 450 ล้านบาท สร้างศูนย์กระจายสินค้าใหม่ขึ้นมาอีก 1 แห่ง บริเวณนิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุด จังหวัดระยอง ขนาดพื้นที่ 18,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของลูกค้าในพื้นที่เขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก Eastern Economic Corridor (EEC) โดยเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่มีเครื่องมือและระบบการบริหารจัดการที่ทันสมัยสำหรับเคมีภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ อย่างไรก็ตามเหตุผลที่บริษัทยังคงลงทุนต่อเนื่องในไทย เนื่องจาก เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีศักยภาพที่มั่นคง เห็นได้จากการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆ ส่งผลให้ในปัจจุบันมีกลุ่มนักลงทุนบริษัทต่างชาติหันเข้ามาลงทุนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นสัญญาณที่ดีว่าประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งตลาดทางด้านโลจิสติกส์ที่น่าดึงดูดกลุ่มนักลงทุนในระยะยาว นอกจากนี้บริษัท ยังเตรียมแผนการลงทุนในประเทศไทยเพิ่มเติมในด้านต่างๆ ทั้งการพัฒนาระบบให้สอดรับกับการเป็น “โลจิสติกส์ โซลูชั่น” รวมถึงการขยายศูนย์กระจายสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของกลุ่มลูกค้า โดยตั้งเป้าในปี 2565 บริษัทฯ จะสามารถสร้างรายได้กว่า 2,000 ล้านบาทต่อปี จากเดิม 1,500 ล้านบาทต่อปี