“มาร์ค” เชื่อ “มีชัย”มีเจตนา แต่คาดไม่เป็นไปตามฝัน ยันไม่ไม่ปัญหา กปปส. แค่เห็นไม่ตรงกัน คาด “สุเทพ” ไม่ป่วนประชามติแน่ ชี้ “บิ๊กตู่” มีโอกาสกำหนดอนาคตประเทศมากที่สุด วันที่ 3 ส.ค.59 ที่วัดวรจรรยาวาส นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้เดินทางมาทำบุญเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 52 ปี โดยภายหลังจากที่ทำพิธีเสร็จสิ้น นายอภิสิทธิ์ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่าในวันนี้ถือเป็นวันคล้ายวันเกิดตนได้มีโอกาสมาทบทวนชีวิตตัวเอง และคิดว่าประมาณครึ่งชีวิตที่ได้อุทิศให้กับวงการการเมือง ก็ถือเป็นการสานฝันที่มีมาตั้งแต่ในวัยเด็กว่าอยากจะทำอะไรให้กับบ้านเมือง ให้บ้านเมืองมีการพัฒนา หลุดพ้นจากความขัดแย้ง ประชาชน กินดีอยู่ดี ซึ่งแม้จะได้ทำงานการเมืองกว่า 20 ปี แต่มีหลายสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ จึงยังมีหน้าที่ที่ต้องทำความฝันให้เป็นจริง ซึ่งตนจะยึดความคิดตัวเองเป็นใหญ่ไม่ได้ แต่ตนความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองและยึดถือในแนวทางประชาธิปไตย ในวันนี้มีหลายสิ่งไม่เป็นไปตามที่ฝันเอาไว้ การลงประชามติในวันที่ 7 ส.ค.จึงเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องตัดสินใจ ในการจะทำให้บ้านเมืองเดินไปสู่การพัฒนาได้ประชาชนต้องมีส่วนร่วม ซึ่งปัจจุบันโลกและสังคมเรามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จึงถึงเวลาที่เราจะต้องมาทบทวนตรงนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่าส่วนที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)ให้สัมภาษณ์ว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติ พรรคการเมืองที่ออกมาประกาศจุดยืนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญต้องรับผิดชอบนั้น ตนคิดว่าความรับผิดชอบก็คือฝ่ายการเมืองต้องให้ความร่วมมือในการให้ได้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ดีกว่าเดิม ซึ่งการแสดงจุดยืนของตนและอีกหลายคนก็ยังยึดตามโรดแมปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หาก คสช.ตั้งใจว่าจะใช้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ไม่ต้องทำประชามติ เพราะการทำประชามติคือการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งหากประชาชนแสดงจุดยืนว่าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คสช. ก็ต้องหาวิธีให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีกว่านี้โดยร่วมกับฝ่ายการเมือง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อว่าตนก็ไม่ได้เรียกร้องว่าร่างรัฐธรรมนูญต้องผ่านประชามติหรือไม่ และยังเข้าใจว่า นายมีชัยมีเจตนาดี แต่ยังเชื่อว่าความเชื่อของนายมีชัยและสิ่งที่นายมีชัยตั้งใจจะทำ จะไม่เป็นไปดังที่นายมีชัยได้ตั้งความหวังไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาประเทศ และการลดความขัดแย้ง ซึ่งไม่มีความจำเป็นที่จะไปตอบโต้ แต่ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนา ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านก็แสดงให้เห็นว่าประชาชน ยังไม่ถูกใจกับร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับที่ออกมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้ที่ต้องรับผิดชอบเดินหน้าบริหารประเทศต่อไปคงต้องกลับไปทบทวนว่าจะทำอย่างไรต่อไปให้ได้สิ่งที่ดีกว่าเดิม และทุกคนก็ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในกลไกนี้ด้วย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการทำประชามติ พวกตนก็คงต้องยึดถือตามกติกาต่อไป แต่สิ่งที่พวกตนเป็นห่วงก็เพราะเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้แก้ไขยากมาก แตกต่างกับฉบับเดิม ซึ่งเมื่อ กรธ.ร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขยากก็ต้องมั่นใจว่าเป็นฉบับที่ดี หลังจากที่ตนได้ประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้น ก็ได้รับฟังทุกความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ขอเรียนว่าพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีความเป็นสถาบันการเมือง มีความเป็นประชาธิปไตยสูง แต่ขณะนี้การจะออกไปรณรงค์ก็ไม่สามารถทำได้ ซึ่งตัวเองก็ย้ำมาตลอดว่าการลงประชามติวันที่ 7 ส.ค.นั้นไม่ใช่ว่าเป็นการแสดงออกว่าชอบใครหรือไม่ชอบใคร แต่ขณะนี้เรากำลังจะแสดงความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายสูงสุดของประเทศ ปัญหาของทางพรรคนั้นถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ ส่วนสมาชิกที่มีความเห็นต่างจะถือว่าไม่ทำตามอุดมการณ์ของพรรคได้หรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่ต้องมีคนเห็นต่าง เพราะอาจมองถึงสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่แถลงไม่ได้เป็นความเห็นส่วนตัวแต่ต้องยึดความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นสถาบันการเมืองที่ต้องยึดอุดมการณ์ทางการเมือง ทุกเรื่องมีความเกี่ยวพันกันอย่าไปมองแบบแยกส่วนไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองหรือนักการเมือง แม้จะมีคนที่ไม่ชอบแต่พรรคการเมืองและนักการเมืองก็จะต้องคงอยู่ ซึ่งหากคำถามพ่วงการทำประชามติได้รับความเห็นชอบ วุฒิสภาก็เป็นเสมือนอีกพรรคการเมืองหนึ่ง เป็นนักการเมืองโดยทันที จึงต้องคิดว่าพรรคการเมืองและนักการเมืองมีไว้ทำไม คือเป็นตัวแทนให้กับประชาชน ถ้านักการเมืองยังไม่ดีก็ต้องปรับปรุงตัวเองให้ดีกว่านี้ ยังไงก็หนีระบบไม่พ้น การปฏิเสธพรรคการเมืองหรือนักการเมือง จะทำให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยเดินหน้าไปได้อย่างไร เราต้องย้อนไปศึกษาบทเรียนจากทั้งในประเทศและทั่วโลกว่าหากประชาชนขาดการมีส่วนร่วมในทางการเมืองสุดท้าย ผลจะลงเอยอย่างไร ยอมรับว่าเมื่อเกิดปัญหาวุ่นวายก็ต้องมีการออกมาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และไม่ขัดข้องหาก คสช.จะบริหารบ้านเมืองต่อไปจากวันนี้จนถึงวันเลือกตั้ง แต่เรียนว่าเรื่องนี้เป็นละประเด็นกับอนาคตของประเทศ เมื่อถามว่าคนที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญมีการออกมาประกาศจุดยืนผ่านเฟสบุ๊คว่าจะไม่ไปใช้สิทธิลงประชามติ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าอย่าไปคิดแบบนั้น อยากให้ทุกคนออกไปใช้สิทธิ เพราะกฎหมาย ก็เขียนไว้แล้วว่าจะมีคนออกไปใช้สิทธิมากหรือน้อยไม่ใช่ประเด็นเพราะนับคะแนนเฉพาะคนที่ไปใช้สิทธิ หากเสียงรับร่างรัฐธรรมนูญผ่านแค่คะแนนเดียวก็มีผลแล้ว ซึ่งแม้หลายคนจะรู้สึกว่ากระบวนออกเสียงประชามติไม่เป็นธรรมแต่การไม่ออกไปใช้สิทธิก็ไม่ได้ไปลดผลกระทบที่จะตามมาหากร่างรัฐธรรมนูญผ่านการทำประชามติ เมื่อถามถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย(มปท.)ออกมาเป่านกหวีดเชิญชวนประชาชนให้ออกมาใช้สิทธิ์ นายอภิสิทธิ์บอกว่าการเชิญชวนเพื่อให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์เป็นสิ่งที่ควรทำ ซึ่งการที่รัฐบาลกังวลว่าจะมีความวุ่นวาย ตนยังไม่เห็นว่าจะมีการเป่านกหวีดแต่อย่างใด คงไม่มีใครต้องการทำให้เกิดความวุ่นวาย และตนก็ยังไม่เคยเห็นว่า กปปส. ต้องการสร้างความวุ่นวายแต่อย่างใด เห็นแต่ กปปส.ออกมาเรียกร้องจะทำอย่างไรทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ ขอยืนยันว่าตนไม่เคยมีปัญหากับ กปปส.แต่อย่างใด แค่คิดต่างกับ กปปส.ในเรื่องจุดยืนรับร่างรัฐธรรมนูญเท่านั้น เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความเห็นกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาประกาศกับประชาชนว่าวันที่ 7 ส.ค.นั้นจะเป็นการเลือกระหว่างอนาคตที่ไม่แน่ชัดกับอดีตที่ขมขื่น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อดีตนั้นเปลี่ยนไม่ได้แต่อนาคตนั้นเปลี่ยนได้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ที่มีโอกาสจะเปลี่ยนแปลงอนาคตได้มากกว่าคนอื่น สิ่งที่ตนแสดงจุดยืนไปคือการให้โอกาส พล.อ.ประยุทธ์ ได้สร้างอนาคตที่ดีกว่าที่นายมีชัยพยายามทำ ตนไม่ได้บอกว่าสิ่งที่นายมีชัยทำนั้นไม่ดี แต่บอกว่าน่าจะทำให้ดีกว่านี้ ได้ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์นั้นอยู่ในสถานะที่จะทำได้ อนาคตนั้นเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนอยู่แล้ว ที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญบอกว่าใช้รัฐธรรมนูญแล้วจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พอถึงเวลาจริงๆอาจจะไม่เป็นอย่างที่ว่าก็ได้ บทเรียนจากรัฐธรรมนูญปี 2540-2550 ก็เคยมีให้เห็นแล้วครั้งหนึ่ง