คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ/ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย หากย้อนกลับไปลองศึกษาถึงบรรดาผู้นำของสหรัฐอเมริกาในยุคต้นๆดูกันแล้วจะค้นพบได้เลยว่า ผู้นำเหล่านั้นล้วนมีความน่าชื่นชมศรัทธา เนื่องจากมีความชอบธรรม มีความกล้าหาญแต่ไม่บ้าบิ่น และอยู่ในกรอบของศีลธรรม เพราะพวกเขาตระหนักดีว่าเป็นผู้นำและเป็นบุคคลสาธารณะที่จะต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นคนรักชาติอย่างเข้มข้นแต่ก็ต้องคำนึงถึงเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกด้วยกัน ซึ่งผู้นำต้นแบบที่พูดมานั้นอันได้แก่ จอร์จ วอชิงตัน จอห์น อดัมส์ โธมัส เจฟเฟอร์สัน เจมส์ แมดิสัน หรือ รัฐบุรุษ เบนจามิน แฟรงกลิน เป็นต้น ดังเช่น "ประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน" ซึ่งท่านวางตนเป็นแบบอย่างที่ดีมาโดยตลอด อีกทั้งการที่ท่านปฎิเสธไม่ยอมรับตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่สาม จนได้กลายเป็นประเพณีเรื่อยมาจวบจนกระทั่งถึงสมัยของประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี.รูสเวลท์ ที่ปฏิบัติตนขัดต่อประเพณีอันดีงามอยู่ในตำแหน่งถึงสี่สมัยและเสียชีวิตขณะที่ดำรงอยู่ในตำแหน่ง     อย่างไรก็ตามสภาคองเกรสก็ได้ออกมาวางกฏกติกาตีกรอบข้อกำหนดเสียใหม่เมื่อปี 1951 ว่า จะไม่อนุญาติให้ผู้ใดก็ตามยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีติดต่อกันเกินสองสมัย เพราะไม่ต้องการให้มีประธานาธิบดีที่วางตัวเป็นเผด็จการ!!!     แต่ทว่าเมื่อวันเวลาผันผ่านไปบุคลิกและคุณลักษณะที่ถือเป็นคาแรคเตอร์อันดีงามของผู้นำของสหรัฐอเมริกาก็ค่อยๆเปลี่ยนไปจนเกือบเหมือนพลิกหน้ามือกลับไปเป็นหลังมือมากขึ้นทุกทีทุกที     ดูเหมือนว่า ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน จะเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่วางตนเป็นเผด็จการ โดยเขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรับตำแหน่งเข้าสู่ทำเนียบขาว และขณะที่มีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับทุจริตการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีนิกสันได้ออกมากล่าวออกตัวแก้ต่างว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่คนขี้โกง” แต่ท้ายที่สุดโดนคนรอบๆข้างหมางเมินหันหลังให้ จนนิกสันต้องยอมถอดใจยกธงขาวประกาศลาออกจากตำแหน่ง!!!       และขณะนี้ดูเหมือนว่า เหตุการณ์ทำนองนั้นได้หวลกลับมาอีกครั้งหนึ่ง โดยมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นตัวตายตัวแทนวางตนเป็นเผด็จการเหมือนผู้นำบางคนเมื่อครั้งอดีต แถมยังมีพฤติกรรมเพี้ยนๆแกว่งๆเหนือกว่าในอดีตมากขึ้นทุกทีๆ    ส่วนเรื่องที่เขาได้ออกมาพูด เพื่อปัดความผิดแบบย้ำๆซ้ำๆอยู่ตลอดเวลาว่า “ข้าพเจ้าไม่มีส่วนรู้เห็นกับรัสเซีย (Collusion)” ในการได้รับตำหน่งเข้าสู่ทำเนียบขาว         อนึ่งสัปดาห์ที่แล้วช่างดูเป็นช่วงที่มืดมนดำทะมึนน่ากลัวและเลวร้ายแบบสุดๆของประธานาธิบดีทรัมป์เลยทีเดียว         เพราะในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังประชุมสุดยอดอยู่กับประธานาธิบดีคิม จองอึน ที่ฮานอย ประเทศเวียดนามนั้น แต่กลับปรากฏว่า ไมเคิล โคเฮน อดีตทนายส่วนตัวของเขาก็กำลังออกมาเปิดโปงถึงเบื้องหลังอันแสนฉาวโฉ่ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งส.ส. เอไลจาห์ คัมมิ่งส์ ประธานคณะกรรมาธิการกำกับดูแลการบริหารของฝ่ายบริหาร ได้จัดให้มีการให้ปากคำที่ยาวนานกว่าห้าชั่วโมง และได้มีการถ่ายทอดสดผ่านทางทีวีออกสู่สายตาของสาธารณะชน ที่มียอดผู้ชม กว่า 18 ล้านคน!!!       ในรายการวันนั้น ไมเคิล โคเฮน ได้งัดเอาสำเนาเช็คที่มีจำนวนเงิน 35,000 เหรียญ ซึ่งในนั้นมีลายเซ็นต์ของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้จรดปากกาออกมาโชว์ โดยโคเฮนระบุว่า เป็นเช็คงวดหนึ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์สั่งจ่ายเพื่อปิดปากนางเอกหนังหวาบหวิวและนางแบบเพลย์บอยนิตยสารปลุกใจเสือป่าไม่ให้ทั้งคู่ออกมาแฉว่า เขาไปมีอะไรกุ๊กๆกิ๊กๆเรื่องเพศสัมพันธ์กับทั้งสองสาวก่อนวันเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อสองปีก่อน         อีกทั้งในช่วงการให้ปากคำนานกว่าห้าชั่วโมงนั้น ไมเคิล โคเฮน ได้ลำดับเหตุการณ์ต่างๆที่ส่อเค้าว่า  "โดนัลด์ ทรัมป์ร่วมมือกับรัสเซีย เพื่อวางแผนให้ได้มาซึ่งตำแหน่งประธานาธิบดี"         ส่วนความหวังของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการจะสร้างประวัติศาสตร์ยุคใหม่ในการประชุมสุดยอดกับเกาหลีเหนือครั้งนี้กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า แถมความหวังของเขาที่ต้องการจะได้รับรางวัลโนเบล แขนงสันติภาพ ก็เป็นเพียงความฝัน!!!         อีกทั้งหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วว่าประธานาธิบดีทรัมป์บงการให้นายพลจอห์น เคลลี เลขาธิการทำเนียบขาวและ มร.โดนัลด์ แม็คแกห์น ทนายความประจำทำเนียบขาว ยอมเปิดทางให้จาเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยคนโปรดมีสิทธิ์ดูเอกสารราชการลับสุดยอด ทั้งๆที่ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามปฏิเสธตลอดมาว่า เขาไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆทั้งสิ้น   ส่วนการประกาศภาวะฉุกเฉินที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการจะผันเงินจากกระทรวงการคลังและกระทรวงกลาโหมนำไปสร้างกำแพงกั้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับแม็กซิโกนั้น กลับถูกกระแสต่อต้านจากนักการเมืองพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันที่ผนึกพลังกันผ่านมติอย่างฉลุย และในวุฒิสภาได้มีวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันจะไปผนึกพลังกับพรรคเดโมแครตสิบคนเพื่อให้ผ่านกฏหมายดังกล่าว สำหรับส.ส.อดัม ชิฟฟ์ ประธานคณะกรรมาธิการฝ่ายข่าวกรองในสภาผู้แทนราษฎร ขณะนี้กำลังพยายามรวบรวมหลักฐานอย่างเงียบๆไม่กระโตกกระตาก เพื่อใช้มัดความไม่ชอบมาพากลของประธานาธิบดีทรัมป์ ส่วนเสือตัวที่สามก็คือส.ส.เจอร์รี นาร์ดเลอร์  ประธานคณะกรรมาธิการตุลาการของสภาผู้แทนราษฎรก็ได้เปิดฉากในเชิงรุก โดยจะขอเอกสารจากทีมงานที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีทรัมป์ในทำเนียบขาวหกสิบคน รวมถึงบริวารผู้ที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีทรัมป์ในวงนอก รวมทั้งลูกชายคนโตและลูกเขยคนโปรดของเขาด้วย  โดยสมาชิกสภาผู้แทนทั้งสามท่านนี้ต้องการจะลากไส้ของประธานาธิบดีทรัมป์ว่ามีกี่ขดๆให้โลกได้ทราบทุกแง่ทุกมุมดังเช่น เรื่องการขัดขวางขบวนการยุติธรรม การคอรัปชั่น และการใช้อำนาจในทางที่ผิด เพื่อต้องการปูพื้นฐานในการปลดประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้สามเสือที่ต้องการจะกำจัดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ใดกันบ้าง?         พวกเขาทั้งสามเป็นนักกฎหมายที่มีประสบการณ์อย่างเชี่ยวชาญช่ำชอง มีความรู้ด้านกฏหมายอย่างหาตัวจับยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขามีฝีปากที่แสนคมกริบ     โดย"ส.ส. เอไลจาห์ คัมมิ่งส์" จบด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ เป็นส.ส.มาแล้ว 23 ปี รับตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการกำกับดูแลการบริหารของฝ่ายบริหาร เขาได้สร้างข่าวเกรียวกราวจากคำพูดที่เฉียบคมในโอกาสปิดการประชุมรับฟังการให้ปากคำของไมเคิล โคเฮน เมื่อวันพุธที่แล้ว โดยมีผู้เข้าไปชมในยูทูปกว่าสามล้านคน       "ส.ส.อดัม ชิฟฟ์" ประธานคณะกรรมาธิการฝ่ายข่าวกรองในสภาผู้แทนราษฎร จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีรัฐศาสตร์ จากแสตนฟอร์ด และด้านกฎหมายจากฮาร์วาร์ด เป็นส.ส.ของรัฐแคลิฟอร์เนียมาแล้วถึงเก้าสมัย และยังเป็นอดีตอัยการ ณ นครลอสแอนเจลิส      "ส.ส.เจอร์รี นาร์ดเลอร์" สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากนิวยอร์กสิบสองสมัย จบปริญญาตรีจากโคลัมเบียและจบด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม ดำรงตำแหน่งคณะกรรมาธิการตุลาการของสภาผู้แทนราษฎร เขาผู้นี้เป็นหัวหอกในการที่จะปลดประธานาธิบดีทรัมป์ให้กระเด็นออกจากตำแหน่ง     กล่าวโดยสรุปสามเสือรุ่นเก๋าส์ทั้งสามคนที่มีทั้งความเจนจัดและยึดเอาหลักการที่ดีของผู้นำสมัยแรกๆของสหรัฐฯมาเป็นหลักปฎิบัติ และพวกเขาต่างหวังต้องการที่จะขับเคลื่อนให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่ง แต่อย่างไรก็ตามคงจะมิใช่เรื่องง่ายๆ และคงจะเป็นเกมส์ยาวยืดเยื้อติดต่อกันไปอีกนาน ซึ่งตอนจบฝ่ายกระบวนยุติธรรมคงจะต้องชนะฝ่ายอธรรมอย่างแน่นอนละครับ